กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-03-2025, 19:45
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,936
ได้ให้อนุโมทนา: 225,200
ได้รับอนุโมทนา 800,242 ครั้ง ใน 39,355 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-03-2025, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ต้องบอกว่ามีหลายเรื่องเกิดขึ้นในวงการสงฆ์ของเรา มีทั้งในส่วนที่ดีและไม่ดี

ในส่วนที่ดีคือคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เร่งรัดในการดำเนินการให้ที่ดินวัดได้รับเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้อง จากตัวอย่างที่เขากล่าวถึง แค่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอเดียวมี ๓๕ วัด มีที่ดินวัดที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องแค่ ๓ วัดเท่านั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่คาราคาซังมานาน ถ้าใครสามารถจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยได้ คาดว่าพระภิกษุสงฆ์ของเราคงจะเทใจให้ทั้งหมด เพราะว่าเป็นเรื่องที่ค้างคากันมา บางวัดก็ผ่านเจ้าอาวาสไปหลายรูปแล้ว

เพียงแต่ว่าสถานที่บางแห่ง อย่างเช่นตำบลชะแลของอำเภอทองผาภูมินั้น มีการประกาศเขตอุทยานขึ้นมาทีหลัง หลังจากที่ชาวบ้านได้ทำการตั้งหมู่บ้านและสร้างวัดก่อน เมื่อกลายเป็นอุทยาน กฎระเบียบตลอดจนกระทั่งกฎหมายในการดำเนินการก็เป็นเรื่องที่ยาก

บางแห่งก็มีการประท้วงกัน ปะทะกัน จนกระทั่งท้ายสุด ก็ต้องอาศัยพระบารมีสมเด็จพระพันปีหลวง ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เข้าไปดำเนินการอย่างละมุนละม่อม ก็คือกำหนดให้เขตหมู่บ้านสามารถใช้ประโยชน์ในป่าไม้ไปได้ถึงสันเขารอบด้าน ไม่อย่างนั้นแล้วชาวบ้านที่อยู่กับป่า กินกับป่า ก็แทบจะไม่มีโอกาสที่จะทำมาหากินอย่างอื่นได้เลย

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็มักจะเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนาของเรา อย่างข่าววันก่อนที่มีพระธุดงค์ ๒ รูป เดินธุดงค์แล้วมีผู้หญิงเดินตาม ช่วยถือของให้ ๒ คน เรื่องพวกนี้บางทีโดยจิตสำนึกแล้วก็น่าจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไม่ใช่ไปอาศัยแค่ว่าไม่ได้อยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง

เนื่องเพราะว่าพระวินัยหรือศีลพระข้ออื่น ๆ ก็ยังมีจำกัดอยู่ อย่างเช่นว่า ภิกษุชวนภิกษุณีเดินทางร่วมกัน สิ้นระยะบ้านหนึ่งต้องอาบัติ เรื่องของภิกษุณีถือว่าเป็นนักบวชผู้ทรงพรหมจรรย์ด้วยกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่อนุญาตให้ แล้วฆราวาสผู้หญิงทั่วไป ถือว่าอยู่ในสถานะที่พึงระวังมากกว่าหลายเท่า จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสำนึกถึงสมณสารูปของเรา โดยเฉพาะในเรื่องของศีล เรื่องของหิริ - โอตัปปะ เพราะว่าคนเราถ้าไม่ละอายชั่วกลัวบาป ต่อให้มีศีลมากกว่านี้กี่ร้อยเท่าก็ละเมิดได้ทั้งหมด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2025 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-03-2025, 01:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราท่านทั้งหลายจึงประมาทไม่ได้ เพราะว่ากิเลสนั้นหลอกเราอยู่เสมอ โดยเฉพาะในส่วนที่คิดว่า "ไม่เป็นไร" คำว่าไม่เป็นไรไม่สามารถที่จะใช้กับพระภิกษุสามเณรได้ เพราะว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ถ้าเราไปดูลักษณะของการต้องอาบัติ เราก็จะเห็นว่า ต้องโดยไม่รู้ ต้องโดยลืมสติ ต้องเพราะสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร โดนทุกรูปแบบ แต่ว่าเหตุผลในการต้องอาบัติที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องโดยไม่ละอาย รู้แล้วขืนทำลงไป พวกเรานอกจากจะต้องระมัดระวังแล้ว ยังต้องช่วยระมัดระวังให้เพื่อนสหธรรมิกด้วย

เมื่อวานกระผม/อาตมภาพคุยกับหลวงพ่อสิงห์โต (พระครูโสภณคุณาธาร) รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดสาลี บางปลาม้า มีโยมผู้หญิงมากราบ คุยด้วยพักหนึ่งแล้วขออนุญาตเอาอังสะไปส่งให้กับพระ ด้วยความที่เขาตรงไปตรงมา เขาก็บอกว่าจะเอาอังสะไปส่ง หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "ถ้าหากว่าส่งอยู่ในลักษณะนี้ อีกไม่นานเดี๋ยวก็ได้ไปอยู่ด้วยกัน..!"

นั่นก็คือลักษณะของผู้ใหญ่ที่เห็นโลกมามาก เห็นว่าทุกอย่างจะเริ่มจากเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าลืมว่าแม้แต่ภิกษุใช้นางภิกษุณีซักจีวร ยังโดนอาบัติ พวกเราจึงต้องระมัดระวังไว้ให้มาก เพราะว่าเปิดโอกาสให้เมื่อไร กิเลสก็จะอาศัยเป็นข้ออ้าง ตอนนั้นยังทำได้ ตอนนี้ยังทำได้ แล้วข้ออ้างเหล่านั้นก็จะพาให้พระวินัยเสียหายมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกว่า "การแสดงอาบัติไม่ได้ทำให้ผลกรรมนั้นหายไป โทษของพระวินัยนั้นยังคงอยู่ ถ้าเหมือนกับร่างกายคน ผู้ที่ละเมิดพระวินัยก็คือเกิดแผลขึ้นในร่างกาย การแสดงอาบัติก็คือระงับแผลนั้นไว้แค่นั้น บาดแผลไม่ได้หายไปไหน แล้วถ้าหากว่ามีแผลมาก ๆ คนเห็นเข้าก็รังเกียจ" นั่นก็คือสิ่งที่จะทำให้ตัวเราเดือดร้อนยังไม่พอ วัดวาอาราม ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ และพระพุทธศาสนาก็เดือดร้อนไปด้วย

ในปัจจุบันนี้จะมีการสั่งสอนกันอยู่ในหมู่พระเณรที่เรียนหนังสือ อย่างเช่นว่า "การเรียนหนัก ใช้สมองมาก เพราะฉะนั้น..จะกินอาหารเย็นบ้างก็ไม่เป็นไร กินแล้วก็ไปปลงอาบัติ" เขาสอนกันอย่างนี้จริง ๆ กระผม/อาตมภาพไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านถึงไม่เปิดสำนักเรียนในวัดท่าซุง ทั้งที่ทุกอย่างพร้อมหมด จะเปิดเมื่อไรก็ได้ เคยเรียนถามท่านแล้ว ท่านบอกว่า "ข้าไม่อยากเอาเหี้ยเข้าวัด..!" ชัดเจนมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2025 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-03-2025, 01:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,281 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีแนวคิดในลักษณะอย่างนี้ พอถึงเวลาก็จะทำให้หลักเกณฑ์หลักการต่าง ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางเอาไว้ดีแล้วเสียหายไปหมด แล้วลูกศิษย์ก็จะเห็นว่าครูบาอาจารย์ทำได้ เราก็ทำได้ หลังจากนั้นสั่งสอนลูกศิษย์ต่อไป ก็จะอยู่ในลักษณะแบบนี้ กลายเป็นว่าเราสร้างอาจิณกรรมจากการละเมิดศีลจนเป็นปกติ

เคยมีพระเถระบางรูป ท่านบอกว่า "ต่อให้เป็นอาบัติทุกกฎ ซึ่งเป็นอาบัติตัวเล็กที่สุด ถ้าใครโดนอาบัติทุกกฎ ๒๒๗ ครั้ง เท่ากับต้องอาบัติปาราชิก..!" ไม่จริงนะครับ อาบัติทุกกฎก็คืออาบัติทุกกฎ แต่ความที่ละเมิดแบบไม่รู้จักระงับยับยั้งตัวเอง ผิดแล้วผิดเล่าถึง ๒๐๐ กว่าครั้ง โอกาสที่จะโดนอาบัติปาราชิกก็สูงมาก เพราะฉะนั้น..เราต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรใช่ หรืออะไรไม่ใช่

คำสอนแปลก ๆ เหล่านี้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ มักจะเป็นอัตโนมติ ก็คือความเห็นส่วนตัวของพระรูปนั้น แต่คราวนี้พอท่านอาวุโสมากขึ้น ไปเป็นเจ้าคณะปกครองบ้าง เป็นเจ้าอาวาสบ้าง เป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์บ้าง แล้วไปสอนต่อลักษณะแบบนี้ ก็กลายเป็นว่า
บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม พระพุทธศาสนาของเราก็จะเสียหายและคงอยู่ไม่ได้

และโดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรของเรา แค่รักษาศีลอย่างเดียวไม่เพียงพอรักษาตัวเอง เพราะว่าจะขาดกำลังในการระงับยับยั้ง ต้องเพียรสร้างสมาธิให้เกิดให้มากที่สุด กำลังสมาธิสูงมากเท่าไรก็ห้ามใจตนเองได้มากเท่านั้น เหมือนอย่างกับรถจะตกเหว ถ้าไม่มีเบรกก็ไปไม่รอด ถ้าหากว่าเบรกดีก็หยุดได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เบรกไม่ดีก็หวาดเสียวหน่อย อาจจะไหลไปถึงริมเหวแล้วกว่าจะหยุดได้ หลังจากนั้นแล้วยังอาศัยพื้นฐานของสมาธิ สร้างปัญญาให้เกิด แล้วก็ทำการพินิจพิจารณาให้เห็นจริง ยอมรับ และปล่อยวางได้อีก

ดังนั้น..ในเรื่องของพระภิกษุสามเณรของเรา ถ้าหากว่าเพิ่มเรื่องของสมาธิภาวนาเข้ามา ก็แทบจะเป็นตัวแก้ปัญหาในคณะสงฆ์ได้เลย เพียงแต่ว่าหลักธรรมพื้นฐาน ก็คือหิริ - โอตัปปะ เราจะลืมไม่ได้ ถ้าไม่ละอายชั่ว ไม่กลัวบาป ยิ่งศึกษาเล่าเรียนมากก็กลายเป็น "เหี้ยติดปีก" รู้วิธีว่าทำอย่างไรจะหลบหลีก ทำอย่างไรจะละเมิดศีลได้เนียนยิ่งขึ้น..!

จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องใส่ใจให้มาก นอกจากพยายามรักษาตนแล้ว ยังต้องรักษาคนรอบข้างด้วย ช่วยกันตักช่วยกันเตือน เพราะว่าออกพรรษาเราได้ปวารณาต่อกันแล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วปล่อยให้ต่างคนต่างไป เดี๋ยวพลาดขึ้นมา ต้องอาบัติหนักก็จะเสียหายกับตนเองไปเปล่า ๆ


สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2025 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:05



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว