กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-12-2024, 20:14
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,547 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-12-2024, 22:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพจำได้ว่าพูดไปหลายครั้งแล้วว่า การสวดมนต์นั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง แต่มีผู้ถามมาในข้อความส่วนตัวว่า มีบุคคลหนึ่งกล่าวว่า เรื่องของการสวดมนต์นั้นไม่จำเป็น ตนไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ซึ่งตรงนี้ต้องทำความชัดเจนเสียก่อนว่า ในเรื่องของการสวดมนต์นั้นคืออะไร ?

การสวดในพระพุทธศาสนาของเรานั้นมีหลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งก็คือการสวดเพื่อสังฆกรรม อย่างเช่นว่าการสวดญัตติจตุตถกรรมในกรรมวาจาอุปสมบท หรือว่าการสวดประกาศ ไม่ว่าจะเป็นอปโลกนกรรมก็ดี หรือว่าในเรื่องของการคณะสงฆ์อื่น ๆ ก็ตาม ซึ่งมีทั้งการสวดญัตติประกาศ ๑ ครั้ง สวดอนุสาวนา ๑ ครั้ง ที่เรียกว่าญัตติทุติยกรรม หรือว่าสวดตั้งญัตติ ๑ ครั้ง ประกาศอนุสาวนาเพื่อขอความเห็นในท่ามกลางสงฆ์ ๓ ครั้ง ที่เรียกว่าญัตติจตุตถกรรม เหล่านี้เป็นในส่วนของสังฆกรรมทั้งหมด

ประการที่ ๒ ก็คือการสวดปริตร ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือการสวดมนต์บ้าน หรือว่าการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นของพระภิกษุสามเณร ซึ่งปริตรนี้มีที่มาชัดเจนในพระไตรปิฎก เรื่องของอายุวัฒนกุมารที่จะต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เมื่อพราหมณ์ผู้เป็นพ่อปรึกษาใครก็ช่วยไม่ได้ จึงไปปรึกษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์ท่านบอกว่าให้ตั้งปะรำพิธี เอาเด็กไปอยู่ตรงกลาง แล้วนิมนต์พระทำการสวดปริตรตลอด ๗ วัน ๗ คืน ซึ่งคำว่าปริตรนั้นแปลตรง ๆ ว่าการป้องกัน งานนั้นก็คือป้องกันไม่ให้ยักษ์มาเอาชีวิต เมื่อพ้น ๗ วันไปแล้ว อีกฝ่ายหมดสิทธิ์ที่ได้รับอนุญาตไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าอายุวัฒนกุมารอายุยืนไปจนถึง ๑๒๐ ปี จึงได้ชื่อว่าอายุวัฒนะ คือผู้เจริญด้วยอายุ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2024 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-12-2024, 22:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้การที่ท่านนั้นกล่าวว่า "ไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์นั้นหมายถึงอะไร ?" ถ้าเป็นการทำวัตรเช้า - ทำวัตรเย็นของพระภิกษุสามเณร ก็แปลว่ากล่าวผิดไปแล้ว แต่ถ้าหากว่าเป็นงานสวดมนต์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็นอะไรก็ตาม นั่นก็ถือว่าท่านเองมีกิจส่วนอื่นจะปฏิบัติอยู่ ไม่ไปก็ได้ แต่ขาดการปฏิสัมพันธ์กับญาติโยม ต่อไปก็จะอยู่ยากขึ้น

การสวดมนต์อีกรูปแบบหนึ่งก็คือการสวดมนต์ทำนองสรภัญญะ ซึ่งปัจจุบันนี้เด็กโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิของเรา ต้องบอกว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ของประเทศ ชนะเลิศถ้วยพระราชทานของกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมาแล้ว

บุคคลที่ได้รับการสรรเสริญมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือพระโสณกุฏิกัณณเถระ ซึ่งได้รับเอตทัคคะทางผู้ที่แสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะ ก็คือแสดงธรรมเป็นทำนองสรภัญญะเลย

ส่วนการสวดมนต์รูปแบบสุดท้ายของเราที่จะกล่าวก็คือสวดมนต์เพื่อพิธีกรรมต่าง ๆ ตามที่พุทธศาสนิกชนนิมนต์ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรือว่าอวมงคลก็ตาม

คราวนี้การที่มีบุคคลกล่าวว่าการสวดมนต์นั้นไม่จำเป็น เพราะว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ก็แปลว่าส่วนหนึ่งท่านคัดค้านในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กระทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของสังฆกรรม หรือว่าส่วนของปริตร ตลอดจนกระทั่งแม้แต่พระเถระที่สวดสรภัญญะ พระองค์ท่านก็สรรเสริญและแต่งตั้งให้เป็นเอตทัคคะบุคคล

แต่ถ้าความหมายของท่านก็คือไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์บ้านก็ไม่ว่ากัน เพียงแต่ว่าท่านได้เข้าใจในคุณประโยชน์ของการสวดมนต์สักเท่าไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2024 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-12-2024, 22:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันดับแรกเลย จะให้ผู้ปฏิบัติธรรมมานั่งสมาธิภาวนา หรือเดินจงกรมภาวนาอย่างเดียว นาน ๆ ไปก็ย่อมเกิดความอึดอัดขัดข้อง แต่ถ้าหากว่าให้เปลี่ยนเป็นการสวดมนต์เสียบ้าง ก็เท่ากับเป็นการผ่อนคลายไปได้ในระดับหนึ่ง ช่วยให้การปฏิบัติธรรมไม่ซ้ำซากจำเจ สามารถที่จะมีความก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น

ประการที่สอง การสวดมนต์นั้นต้องมีสมาธิ พวกเราต้องสังเกตว่าถ้าเผลอขาดสติ เราจะสวดผิดทันที ขนาดล่มทั้งวัดมาแล้ว..! ก็เพราะว่าผู้นำหยุดหายใจ ที่เหลือสักแต่ว่าสวดตาม ๆ ไป กำลังใจไม่ได้จดจ่อก็คิดว่าหัวแถวสวดผิด แล้วพร้อมใจกันหยุด จึงทำให้การสวดมนต์นั้นล่ม แล้วก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่ ก็แปลว่าถ้าไม่มีสมาธิในเบื้องต้น เราจะสวดมนต์ไม่ได้

ประโยชน์ข้อต่อไปก็คือ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมจนมีความคล่องตัวแล้ว การสวดมนต์ทุกอย่างก็คือการภาวนา เพียงแต่ว่าเป็นคำภาวนาที่ยาวอยู่สักหน่อย ก็คือไม่ว่าเราจะสวดมนต์อะไรก็ตาม ก็ควบคู่กับลมหายใจเข้าออกไปด้วย เท่ากับว่าเป็นคำภาวนาไปในตัว เท่ากับว่าเป็นการซักซ้อมในเรื่องของความชำนาญในการทรงสมาธิ โดยเฉพาะเป็นสมาธิใช้งาน ก็คือขณะที่พูดหรือว่าทำสิ่งหนึ่งประการใด เราก็สามารถที่จะทรงสมาธิเอาไว้ได้

ประโยชน์ข้อต่อไปก็คือ ถ้าสามารถทำเป็น เราสร้างทิพจักขุญาณให้เกิดขึ้นได้ ก็คือถึงเวลาเราสวดภาวนาไป ก็นึกถึงอักขระตัวหนังสือของคำสวดนั้นขึ้นมาตรงหน้าของเรา จะเป็นทีละคำหรือทีละประโยค ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ช่วยให้จิตมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ได้ดียิ่งขึ้น แล้วถ้าเราสามารถเห็นอักขระนั้นได้ชัดเจนเท่าไร เราก็สามารถปรับใช้ไปในการเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเจนเท่านั้น ก็แปลว่าท่านสามารถสร้างทิพจักขุญาณขึ้นได้จากการสวดมนต์

เมื่อได้ทิพจักขุญาณแล้ว ถ้าท่านใช้ในการดูอดีตก็จะเป็น อตีตังสญาณ

ใช้ในการดูอนาคตจะเป็น อนาคตังสญาณ

ใช้ดูว่าปัจจุบันนี้แต่ละคนใครทำอะไรที่ไหนบ้าง ก็เป็น ปัจจุปปันนังสญาณ

ใช้ในการระลึกชาติ ก็เป็น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

ใช้ในการดูว่าคนเราก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ก็เป็น จุตูปปาตญาณ

ใช้ในการดูว่าบุคคลทำสิ่งนี้แล้วจะได้รับผลดีผลชั่วอย่างไร ก็เป็น ยถากัมมุตาญาณ

และท้ายที่สุด ถ้าเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่นได้ ก็จะกลายเป็น อาสวักขยญาณ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2024 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 03-12-2024, 22:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประโยชน์ข้อต่อไปก็คือถ้าท่านสามารถที่จะแปลคำสวดจากภาษาบาลีเป็นไทยได้ ส่วนใหญ่แล้วก็คือคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง เมื่อเราสามารถที่จะแปลได้ ก็น้อมจิตปฏิบัติไปตามหลักธรรมคำสอนนั้น สามารถที่จะก่อประโยชน์ให้กับตนตั้งแต่เบื้องต้นยันเบื้องปลาย ก็คือมีกาย มีวาจา มีใจอันสงบ และท้ายที่สุดก็ละวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

ดังนั้น..ถ้าท่านผู้กล่าวมาว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ ถ้าเป็นเรื่องของงานสวดมนต์บ้าน ที่ต้องเสียเวลาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่โยมมีความเลื่อมใสศรัทธา ท่านก็บกพร่องในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเบื้องต้น แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ความหมายนี้ คราวนี้ก็สาหัส..! เพราะว่าประการแรก เป็นการค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ก็คือถ้าจะเดินไปในทางพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ต้องไปตามมรรคมีองค์ ๘ โดยเฉพาะในส่วนท้าย ๆ คือสัมมาสมาธิ

เนื่องเพราะว่าการสวดมนต์ นอกจากช่วยสร้างสมาธิเบื้องต้นแล้ว ถ้าหากว่าทำเป็น ในเบื้องกลางหรือว่าเบื้องปลายก็สามารถที่จะทำได้ และเป็นส่วนที่เกื้อหนุนให้เราใช้ปัญญาพิจารณาได้อย่างวิเศษที่สุด เมื่อปัญญาเห็นชัด ปล่อยวางความยึดติดทั้งปวงได้ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน

ดังนั้น..การที่มีบุคคลสอบถามมา กระผม/อาตมภาพก็อธิบายให้พวกเราฟังกันตามนี้ แต่เชื่อเถอะ..เดี๋ยวก็จะมีผู้หวังดีปรารถนาดี เอาเรื่องที่กระผม/อาตมภาพพูดไปโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งให้เดือดร้อน แล้วก็จะเกิดวิวาทะกัน ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็คงไม่ไปเถียงด้วย
แต่ในบรรดาหมู่ลูกศิษย์ ซึ่งต่างคนต่างแบกกิเลสมาชนกัน ก็จะกลายเป็นว่าต่างคนต่างหาทุกข์ใส่ตัว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ในชาติปัจจุบันที่ต้องร้อนอกร้อนใจ หรือว่าทุกข์ในอนาคต เนื่องเพราะว่าสร้างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเอาไว้ต่อผู้อื่นโดยที่ตนเองก็ไม่รู้จริง

เรื่องพวกนี้จึงก่อให้เกิดโทษใหญ่แก่บุคคลที่ทำคลิปประเภทนี้ เนื่องเพราะว่าสร้างความแตกแยกขึ้นกับพระพุทธศาสนา กลายเป็นว่าลงคลิปไปแล้วทำลายพระพุทธศาสนาเอง ก็ถือว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว การกระทำของท่านก็จะส่งผลให้แก่ท่านเอง แต่กว่าจะรู้ตัวก็น่าจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2024 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:43



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว