|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ตื่นเช้าขึ้นมาก็มาพร้อมกับข่าวร้ายของคนไทยทั้งประเทศ เนื่องเพราะว่าสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคตเมื่อคืน เวลา ๒๑.๒๑ น.
กระผม/อาตมภาพพยายามที่จะลุ้นว่าเหลืออีกไม่กี่วันก็จะพ้นเขตตุลาอาถรรพ์แล้ว แต่ปรากฏว่าลุ้นเท่าไรก็ลุ้นไม่ขึ้น เนื่องเพราะว่าวาระของประเทศเป็นเช่นนั้น แต่การที่พระองค์เสด็จสวรรคตนั้น ก็เท่ากับว่าผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินของเราสูญเสียชีวิตลงไป ทำให้เป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมแก่ประชาชนส่วนใหญ่ไปได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเรื่องในลักษณะแบบนี้ พูดไปก็เหมือนกับเพ้อเจ้ออยู่คนเดียว ความจริงช่วง ๒ - ๓ วันที่ผ่านมานี้ กระผม/อาตมภาพสูญเสียเพื่อนรัก ก็คือพระครูปิยธรรมพิมล (พระอาจารย์สมควร ปิยํกุโร) รองเจ้าคณะอำเภอบางเลน เจ้าอาวาสวัดบางปลา จังหวัดนครปฐม ที่เคยศึกษาร่วมกันมาตั้งแต่ประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา และปริญญาโทพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการเชิงพุทธ แล้วอีกท่านหนึ่งก็คือพระอธิการประเวศ อติธมฺโม เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาสุกิจวนาราม ในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ก็มรณภาพลงไปไล่ ๆ กัน ซึ่งในลักษณะช่วงนี้ ต้องบอกว่าเป็นช่วงเปลี่ยนของอากาศ ที่กระผม/อาตมภาพย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้ามีคนแก่ มีคนป่วยต้องดูแลให้ดี เนื่องเพราะว่าไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ฉวยพลาดพลั้งขึ้นมาก็จะเสียชีวิตไปเลย.. สำหรับวันนี้ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืนครึ่ง กระผม/อาตมภาพก็กราบของบารมีพระท่าน จารแสตมป์ซึ่งเป็นรูปของตนเองที่ทำไว้เมื่อวานนี้จำนวน ๑๒ ดวง เนื่องเพราะว่าญาติโยมขอบูชากันจนหมด ขนาดขู่ไว้ว่าดวงละ ๕๐๐ บาทก็จะเอา แต่ขอให้มีรอยจารหลวงพ่อด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:48 |
| สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
ไหน ๆ เมื่อจารแล้ว ก็เลยพลอยเสกไปถึงสิ่งที่ซื้อหามาในช่วง ๒ - ๓ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัวจามรี ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกว่า "ไอ้เขาระฟ้า" เพราะว่าเขายาวผิดธรรมชาติไปหน่อย แต่กลายเป็นจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ตลอดจนกระทั่งประคำมือ ๓ พวงที่ทำมาจากอำพัน แล้วก็สร้อยข้อมือ ๑ เส้น สร้อยคอ ๑ เส้นที่ทำจากหินเทอร์คอยซ์ ตลอดจนกระทั่งในส่วนของลูกแก้วลาพิส ลาซูรี
เมื่อเสกเสร็จสรรพเรียบร้อยก็คิดว่าจะมีใครบูชาหรือไม่ ? แต่ปรากฏว่าทันทีที่ข่าวรั่วออกไป ทุกอย่างก็หายวับไปกับตา ดีที่ได้ขยักเอาประคำมือเอาไว้ให้ลูกอ้วน (นางสาวภัทรวรรณ จะหวะ) ๑ เส้น ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่เหลืออะไรเลย..! สำหรับวันนี้ พวกเรายังต้องพักอยู่ที่โรงแรม Olathang อีกคืนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเราต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ ก็คือจะมีเสียงปลุกตอนตี ๕ ไปรับประทานอาหารตอน ๖ โมงเช้า แล้ว ๗ โมง พวกเราก็ต้องออกเดินทางกันทันที ไม่ทราบเหมือนกันว่าด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ขี่ม้าหรืออย่างไร ? วันนี้ก็เลยทำให้ทุกคนไปถึงห้องอาหารก่อน ๖ โมง แต่ทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรมก็รีบบริการพวกเราชนิดสุดใจขาดดิ้น เมื่อฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็นำวัตถุมงคลที่เสกเมื่อคืน แจกจ่ายให้กับญาติโยมผู้ที่จับจองเป็นเจ้าของ แล้วก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถ ยังไม่ทันจะ ๗ โมงตามเวลานัด ทุกคนก็พร้อมกันหมดแล้ว พลขับจึงได้นำพวกเราวิ่งออกจากโรงแรม Olathang ตรงไปยังเขารังเสือ ซึ่งสังเกตจากระยะทางที่วิ่งแล้ว ตอนช่วงที่ลงจากโรงแรมเท่านั้นถึงจะเป็นทางลง นอกนั้นเมื่อผ่านถนนสายช็อปปิ้งเมื่อคืน วิ่งออกนอกเมืองไปแล้ว ถนนก็เริ่มคดเคี้ยวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุดก็มาถึงบริเวณที่จอดรถนักท่องเที่ยว พวกเราเข้าห้องน้ำกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มานั่งรอเวลา โดยที่น้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) ได้ทำการติดต่อม้าที่จะมารับพวกเราเอาไว้ พวกเราต้องรอจนกระทั่งเขาจัดม้าให้ได้ครบตามจำนวนคน ซึ่งค่าขี่ม้านั้นอยู่ที่ ๒๐ ดอลลาร์ ขาขึ้นอย่างเดียว ขาลงต้องเดินเองเท่านั้น..! แต่ว่าในคณะของเราทั้งหมด ๒๕ คนนั้น มีคุณมอส (นายพรหมพงศ์ ตันติจินดา) เพียงคนเดียวที่ขอเดินขึ้นตั้งแต่ด้านล่างเลย เมื่อสอบถามด้วยความเป็นห่วง คุณมอสก็ชี้แจงว่า ตนเองเดินเทร็กกิ้งมาตลอด แต่ว่าขอฝากคุณแม่ (คุณอำไพ ตันติจินดา) ขึ้นม้าไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:53 |
| สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), เด็กใต้ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
| ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
พวกเราเริ่มออกเดินกันตั้งแต่ตอน ๐๗.๔๐ น. ปรากฏว่าถนนนั้นเป็นทางเดินที่คดเคี้ยวไปตามป่าตามเขา โดยเฉพาะสูงชันขึ้นไปเรื่อย ๆ ม้าข้างหน้านั้นมีปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าเป็นม้าที่น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ขี่อยู่นั้น ก็มักจะหยุดขี้ หยุดเยี่ยว หยุดกินน้ำอยู่เสมอ ส่วนม้าที่น้องการ์ตูนขี่รู้สึกว่าปอดจะไม่ค่อยดี หรือติดนิสัยขี้เกียจก็ไม่ทราบ เดินขึ้นที่สูง ๔ ก้าว ๕ ก้าวก็จะหยุดหอบหายใจ ถ้าหากว่าไม่ดุไม่ว่าก็ไม่เดินต่ออีกด้วย ทำให้ต้องเดิน ๆ หยุด ๆ กันไปตลอดทาง
เส้นทางก็สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ มีการเอาไม้มาฝังดินเอาไว้ เพื่อที่จะเป็นขั้นบันได แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทนแดดทนฝนไปได้อีกนานเท่าไร ? เพียงแต่ว่าม้านั้นมักจะชอบเดินทางด้านนอก เนื่องเพราะว่าขั้นบันไดที่ทำเอาไว้นั้น กว้างเกือบ ๑ เมตร ส่วนยาวนั้นก็น่าจะอยู่ที่ ๑ เมตรครึ่ง ทำให้ม้าเดินไม่ค่อยถนัด พวกเราขึ้นไปจนถึงลานพักม้าข้างบน ซึ่งเป็นจุดสุดทางตอนเวลา ๐๘.๒๐ น.ของทางประเทศภูฏาน เมื่อลงจากม้ามาก็เห็นวัดเขารังเสือ ลอยเด่นอยู่เกือบถึงยอดเขาด้านหน้า ทำเอาหลายคนเห็นแล้วแทบจะถอดใจ.! เมื่อนับคนได้ครบถ้วนแล้ว น้องการ์ตูนกับคุณตี๋ (นายภิญชัย จารุพาณิชย์กุล) พาพวกเราตรงไปยังร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้ใครก็ตามที่ต้องการเติมคาเฟอีน จัดการเติมให้เรียบร้อย ใครที่ต้องการเข้าห้องน้ำก็เข้าเสียก่อน หลังจากนั้น ๙ โมงตรงก็ระดมพลเดินขึ้นเขากัน กระผม/อาตมภาพนั้นแม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่ด้วยความที่บิณฑบาตอยู่ทุกวัน ทำให้เดินนำหน้า มองไม่เห็นคนข้างหลัง รออยู่พักหนึ่งถึงได้มีเถ้าแก่ชู (นายบุญชู ถาแก้ว) เดินมาทัน จึงได้เดินไปสองคนหัวเห็ด ค่อย ๆ ขึ้นสูงไปเรื่อย โดยที่มีช่องให้สามารถถ่ายวิววัดเขารังเสือเป็นระยะ ๆ ไป แล้วบางช่วงก็มีห้องน้ำที่จัดสร้างเอาไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วยความรอบคอบ และขณะเดียวกันก็มีประปาภูเขา ให้บรรดาท่านทั้งหลายที่หมดสภาพ ไม่ได้พกน้ำมา สามารถที่จะดื่มกินแก้กระหายได้อีกด้วย เพียงแต่ว่าการเดินทางในระดับความสูง ๓,๑๒๐ เมตรนี้ สิ่งหนึ่งที่เผลอไม่ได้เลยก็คือเราจะขาดออกซิเจนหรือเปล่า ? ถ้าขาดเมื่อไร อาจจะป่วยเป็นโรคแพ้พื้นที่สูง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Altitude sickness ก็เป็นได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:57 |
| สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), เด็กใต้ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
| ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
กระผม/อาตมภาพได้รับคำบอกเล่าว่า การเดินขึ้นไปเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดเขารังเสือ แล้วเดินลงมานั้น ใช้เวลาขึ้นลงประมาณ ๕ ชั่วโมง แต่ด้วยความที่ตนเองไม่ค่อยจะเชื่อถือเรื่องพวกนี้ จึงได้เดินขึ้นไปจนถึงจุดสำคัญ ก็คือจุดยอดนิยมในการถ่ายรูปกับวัดเขารังเสือ โดยใช้เวลาไปประมาณ ๓๖ นาทีเท่านั้น..!
แล้วตอนช่วงนี้ บรรดานักท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็เริ่มมากขึ้น พวกเราหยุดหามุมถ่ายรูปวัดเขารังเสือกันอยู่พักใหญ่ จึงทำให้ป้ามอย (นางสาวมณีวรรณ สัมฤทธิ์) ลูกปุ๊ก (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) ลูกน้ำ (ผศ.ดร.สพญ.ชลาลัย เรืองหิรัญ) ทิดแจ๊ก (นายกรชัย บันดาลศิริกุล) น้องโอ (นางสาวปาริฉัตร อายุวัฒนะ) เดินตามมาทัน พวกเราจึงเดินลงบันไดไป ซึ่งจากช่วงนี้ขาลงนั้นถือว่าง่าย เพียงแต่ต้องนึกถึงขาขึ้นด้วย เนื่องเพราะว่าบันไดพาดิ่งลง คดเคี้ยวไปมาเป็นระยะถึง ๗๐๐ ขั้น..! เมื่อลงไปยังไม่ถึงสุดบันได ก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังสนั่นหวั่นไหว กว่าจะหาเจอว่าน้ำตกลงมาจากซอกเขาสูงลิบลิ่ว ก็เล่นเอามองหาอยู่นาน ลักษณะคล้าย ๆ "น้ำตกตาดหมอก" ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นสายน้ำที่ช่วยหล่อเลี้ยงวัดเขารังเสือแห่งนี้ พวกเราถ่ายรูปกันแล้วก็เดินขึ้นไปบนวัด เมื่อ "พีจี" ซึ่งเป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่นตามมาถึง ก็แจ้งพวกเราว่า ข้าวของทุกอย่างจะต้องฝากเข้าล็อกเกอร์เอาไว้ตรงนี้ โดยเฉพาะห้ามมีโทรศัพท์มือถือติดตัวอย่างเด็ดขาด ยกเว้นเงินที่จะทำบุญเท่านั้น พวกเราจึงต้องมาหาทางฝากข้าวฝากของกันก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาผ่านเจ้าหน้าที่ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจตั๋วและตรวจร่างกาย ปรากฏว่าพอเจ้าหน้าที่ลูบ ๆ คลำ ๆ ผู้ชายไป ๔ - ๕ คน มาถึงคิวสาวภูฏาน แม่เจ้าประคุณก็สุดที่จะทะลึ่ง ก็คือถลกเสื้อขึ้นมาให้คลำ เล่นเอาเจ้าหน้าที่สะดุ้งชะงักมือ แม่เจ้าประคุณก็เลยวิ่งหัวเราะกรี๊ดกร๊าดกับพรรคพวก ๓ - ๔ คนขึ้นข้างบนไป ทำเอาพวกเราฮากันท้องคัดท้องแข็ง..! ทางด้านบนที่เราขึ้นไปนั้น ถ้าหากกล่าวกันตามแบบของพวกเรา ก็คือแบ่งออกเป็นห้อง ๆ แต่ที่นี่เขาไม่เรียกว่าห้อง เขาเรียกว่าวัดเลยทีเดียว รวมแล้วว่าวัดเขารังเสือนี้ ก็คือวัดที่เป็นส่วนรวมของวัดย่อยรวมทั้งหมด ๗ วัดด้วยกัน ซึ่งตามประวัติในตอนต้นนั้น คุรุรินโปเช ซึ่งเป็นพระอาจารย์ชื่อดังของทางพุทธศาสนาสายวัชรยาน ได้ขี่นางเสือเหาะมาลงที่ถ้ำบริเวณนี้ แล้วก็เข้าไปปฏิบัติธรรมอยู่ถึง ๓ ปี ๓ เดือน จนกระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาในพระวรกายมนุษย์ แล้วก็บอกว่าคุรุรินโปเชนั้นสำเร็จในความศักดิ์สิทธิ์แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:03 |
| สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), เด็กใต้ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
| ||
|
#6
|
||||
|
||||
|
คำนี้กระผม/อาตมภาพแปลจากภาษาอังกฤษที่คุณพีจีเป็นคนอธิบาย ไม่ได้บอกว่าสำเร็จมรรคผล แต่เป็นการสำเร็จความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ให้โปรดมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือผู้ที่มืดบอดอยู่ให้พ้นจากกองทุกข์ด้วย คุรุรินโปเชจึงได้เริ่มสร้างวัดแล้วก็เทศนาสั่งสอนผู้คน
โดยที่ห้องแรกหรือวัดแรกที่เราเข้าไปนั้น เป็นภาพของคุรุรินโปเชภาคปราบ ก็คือขี่อยู่บนหลังนางเสือ หน้าตาเหมือนอย่างกับยักษ์แล้วก็มีเปลวไฟล้อมรอบ ภาคปราบนี้ก็คือการปราบกิเลสก็ดี หรือว่าปราบสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงก็ตาม ส่วนห้องต่อ ๆ ไปก็มีภาคโปรด ก็คือเมื่อสำเร็จแล้วก็ออกเสด็จโปรดประชาชน สถานที่ต่อไปก็เป็นห้องที่เก็บพระเจดีย์ ซึ่งเชื่อกันว่าบรรจุเครื่องใช้ไม้สอยของท่านอยู่ในนั้น ห้องต่อ ๆ ไปก็ยังมีในส่วนของห้องที่เข้าไปขอพร เพื่อความร่ำรวย เนื่องเพราะว่าธวัชในมือของท่านนั้นจะบันดาลความร่ำรวยให้ อีกห้องหนึ่งนั้นเป็นห้องที่เราเรียกกันว่าปางสะดุ้งกลับ เพราะว่าโดยปกติแล้ว ในท่านั่ง "มหาราชลีลา" นั้น เท้าขวาจะยื่นออกมาด้านหน้า แต่ว่ารูปหล่อในห้องหรือในวัดนี้เป็นการยื่นเท้าซ้าย ก็คือในลักษณะกลับร้ายกลายเป็นดี ไปจนกระทั่งถึงในห้องที่ท่านเป็นอาจารย์หมอยา ใครที่มาที่นี้ก็สามารถที่จะขอพรให้หายจากโรคต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ได้ ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นห้องของพระอมิตายุ ใครที่ต้องการอายุมั่นขวัญยืนก็ให้มาขอพรที่ห้องนี้ แต่กระผม/อาตมภาพไม่ทราบว่าคุณพีจีใช้คำผิดหรือเปล่า ? เพราะท่านใช้คำว่า Immortal ซึ่งถ้าหากว่าเป็นอมตะ ไม่แก่ไม่ตายแบบนั้น ก็คงมีแต่ต้องเข้าพระนิพพานแห่งเดียว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:05 |
| สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#7
|
||||
|
||||
|
แล้วหลังจากนั้น เราก็ออกมาในห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นสถานที่ตามประทีปเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ซึ่งเขาแจ้งว่ามีราคา ๕๐๐ งุลตรัม ราคา ๒,๐๐๐ งุลตรัม ราคา ๒,๕๐๐ งุลตรัม เป็นต้น กระผม/อาตมภาพที่ทำบุญมาทุกห้องทุกแห่งทุกที่ ไม่ว่าเขาชี้ว่าที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ก็ควักกระเป๋าวางเงินลงไปทันที แล้วก็รับพรจากลามะที่ท่านเฝ้าห้องอยู่ เมื่อมาถึงห้องนี้จึงไม่ลังเล บอกว่าขอประทีปดวงใหญ่ที่สุดเท่าที่มี เมื่อตามประทีปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีการอธิษฐานด้วยน้ำมนต์ที่อยู่ในกา ซึ่งพระลามะท่านส่งมาให้ด้วย
ปรากฏว่าคณะที่ไปด้วยกัน มีคุณหนึ่ง (นายบัญชา เซ็นภักดี) และคุณแบงค์ ภรรยา (นางศรินธร เซ็นภักดี) ตามมาทันอีก ๒ คน ก็เลยควักกระเป๋ารวมกันบูชาประทีปดวงใหญ่สุดอีก ๑ ดวง แล้วมอบให้กระผม/อาตมภาพเป็นคนตามประทีป แต่ว่าทุกคนอธิษฐานกันเองตามอัธยาศัย เสร็จสรรพจากตรงนี้ คุณพีจีก็บอกว่า "finish all" ก็แปลว่าจบจากทุกอย่างตรงนี้แล้ว สามารถที่จะกลับลงมาได้ พวกเราจึงต้องกลับลงมาใส่รองเท้าแล้วก็รับข้าวของคืน ปรากฏว่าเจอคุณอำไพ ตันติจินดา กับคุณพรหมพงศ์ ตันติจินดา สองแม่ลูกนั่งอยู่ ความจริงคุณพรหมพงศ์เดินมาถึงก่อนคณะของกระผม/อาตมภาพอีก แต่ด้วยความที่ว่าต้องรอแม่ ก็เลยยังไม่ได้เข้าจนป่านนี้ เมื่อเดินลงมา กระผม/อาตมภาพสวนกับพระลามะรูปหนึ่ง จึงได้ทักทายว่า "กูซูซังโปลา" ซึ่งแปลว่าสวัสดีครับ แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ตอบเป็นภาษาภูฏาน หากแต่ตอบกลับมาว่า "สวัสดีครับ ผมเป็นพระไทยครับ" ทำเอากระผม/อาตมภาพแทบจะขยี้ตา เพราะว่าท่านดำสนิทติดทนนานเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่ยิ้มนี่ น่าจะมองเห็นในยามค่ำคืนได้ยากสักหน่อย..! เมื่อสอบถามแล้วถึงได้รู้ว่าท่านชื่อไมเคิล เป็นพระไทยที่บวชในนิกายวัชรยานรูปแรกในประเทศภูฏาน บวชมา ๒๐ ปีแล้ว และกำลังพาญาติโยมที่เดินทางมา เพื่อขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านบน ท่านถามกระผม/อาตมภาพก็แจ้งไปว่า อายุ ๖๗ ปี ๔๐ พรรษา ทำเอาท่านทำท่าคอย่น เนื่องเพราะว่าท่านเพิ่งจะอายุ ๕๙ ปี ยังมีการชมเชยว่า "ท่านอาจารย์ดูแข็งแรงมาก" กระผม/อาตมภาพรับคำชมแล้วก็เดินย้อนลงมาด้านล่าง แจ้งกับน้องการ์ตูนซึ่งรอคณะอยู่ว่าจะลงไปที่ร้านค้าก่อน แล้วก็เดินจ้ำอ้าว ๆ ไป โดยมีเถ้าแก่ชูตามทันอยู่คนเดียว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:08 |
| สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), เด็กใต้ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
| ||
|
#8
|
||||
|
||||
|
เมื่อเดินมาจนกระทั่งถึงบริเวณที่เป็นประปาภูเขา จึงได้กรอกเอาน้ำเสียจนเต็มขวด หันไปข้างหลังคุณพีจีตามมาด้วย บอกว่า "คุณการ์ตูนให้ผมตามมาจัดภัตตาหารถวายหลวงพ่อ เนื่องเพราะว่าคณะของเรานัดห้องอาหารไว้ตอนบ่าย ๒ โมง..!" แต่กระผม/อาตมภาพยังไม่ทันจะเพลก็เดินลงแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยกลายเป็นสามคนหัวเห็ด เดินลงมาจนถึงห้องอาหาร เพิ่งจะ ๑๑.๔๕ น. คุณพีจีไปหาชาร้อนมาถวาย แล้วก็ตามมาถามว่า จะฉันหมี่ผัดลักษณะซึ่งเป็นอาหารจีน หรือว่าจะเอาอาหารบุปเฟต์ กระผม/อาตมภาพบอกว่าบุปเฟต์ดีกว่า ไม่ต้องไปรบกวนแม่ครัว แล้วก็ให้เถ้าแก่ชูตักมา โดยกำชับว่า "น้อยกว่าที่คุณกินครึ่งหนึ่ง..!" เมื่อได้อาหารมา กำลังเริ่มฉัน ไม่ว่าจะเป็นป้ามอย ลูกปุ๊ก แล้วก็ลูกน้ำ ก็ทยอยกันมาถึง แต่ปรากฏว่าป้ามอยนั้นไม่ทราบว่าเตลิดเปิดเปิงลงไปข้างล่างหรือไร ? จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพฉันอิ่มแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าป้ามอยจะกลับมาดูอาหารของตนเองเลย เมื่ออีกฝ่ายโทรติดต่อกันแล้ว จึงได้รู้ว่ามีมัคคุเทศก์แสนดีชี้ทางลงให้ ป้ามอยก็คิดว่าต้องลงไปกินอาหารกลางวันข้างล่าง จึงเดินเตลิดลงไปเลย..! กระผม/อาตมภาพได้ยินเช่นนั้นจึงบอกกับน้องการ์ตูนทางโทรศัพท์ว่า เดี๋ยวให้ห่ออาหารไปเผื่อป้ามอยสัก ๑ กล่อง ส่วนกระผม/อาตมภาพที่ฉันเสร็จแล้วจะเดินตามลงไปเอง ว่าแล้วก็จ้ำตามลงไปอย่างด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า เพราะถ้าขืนช้า ป้าอาจจะโดนเสือลากไปกินตอนไหนก็ไม่รู้ !? เพราะว่าป่าแห่งนี้ สัตว์ป่ายังชุกชุมอยู่มาก ขาลงนี้ไม่มีม้าให้เรานั่ง กระผม/อาตมภาพลัดทุกเส้นทางที่มองเห็น เนื่องเพราะว่าจะมีเส้นทางหลักซึ่งเป็นเส้นทางใหญ่ เดินสะดวก แต่ถ้าหากว่าอ้อมมากไป กระผม/อาตมภาพก็ลัดทางลงไปเลย จึงใช้เวลาขาลงแค่ประมาณ ๓๕ นาทีเท่านั้น ลงมาเจอป้ามอยกำลังคุยจ๋อย ๆ อยู่กับชาวภูฏาน บอกว่าอีกฝ่ายชวนลงเดินมาเป็นเพื่อน จึงปลอดภัยดี แถมยังมีนกขุนแผนสองตัวบินวนไปวนมาหาอาหารอยู่ใกล้ ๆ เป็นเพื่อนของป้าอีกส่วนหนึ่งด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:11 |
| สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
กมลโกศลจิต (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), เด็กใต้ (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
| ||
|
#9
|
||||
|
||||
|
กระผม/อาตมภาพจัดแจงเอาชุดกันหนาวออก แล้วก็พับจีวรห่มใหม่ ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาบ่าย ๒ โมงกว่าแล้ว อากาศยังอยู่ที่ ๑๐ กว่าองศาเซลเซียสอยู่เลย นั่งรออยู่เป็นนาน จนกระทั่งพวกเราค่อย ๆ ทยอยกันมา ปรากฏว่ายังมีคณะที่หลงอยู่ทางด้านท้าย โดยเฉพาะพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ซึ่งเพิ่งจะอายุ ๓๘ ปี แต่เดินไม่ทันใครสักคนหนึ่ง จึงต้องให้คุณตี๋คอยประกบหลังอยู่ ได้ยินว่าจนป่านนี้ก็ยังมาไม่ถึงที่ฉันเพลเลย..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจึงตกลงกับคุณพีจีว่า ถ้าหากว่าใครช้าก็ให้ไปเบียดกับรถบัสที่ ๒ ก็แล้วกัน ส่วนรถบัสแรกของเรานั้น มีคนของบัส ๒ ก็คือคุณสายทอง สืบเนือง ติดมาด้วย พวกเราจึงจัดการพกคุณสายทองกลับไปด้วย เมื่อวิ่งกลับมาถึง โรงแรม Olathang สิ่งแรกที่กระผม/อาตมภาพทำก็คือ ขอเถ้าแก่ชูว่า "ห้องของคุณมีอ่างอาบน้ำอยู่ ขออนุญาตแช่น้ำร้อนสัก ๑๕ นาที เพราะรู้สึกว่าแข้งขาระบมอยู่เหมือนกัน" ปรากฏว่ามีคนยกมือกันสลอนว่าขอต่อคิวด้วย เนื่องเพราะว่าห้องพักอื่น ๆ ก็ไม่มีอ่างเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงรีบกลับห้องพักของตนเอง คว้าเอาเครื่องอาบน้ำได้ ไปถึง ปรากฏว่าเถ้าแก่ชูกำลังปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะเปลืองน้ำ ก็เลยจัดการเอาฝาปิดอ่างอาบน้ำออก กระผม/อาตมภาพแก้ไขปัญหาด้วยการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งเป็นถุงใส่รองเท้าเดินในห้องนอน ทำการอุดรูแล้วเปิดน้ำร้อนลงไปแช่ แต่ด้วยความที่ว่าน้ำร้อนจัดมาก จึงแช่ประมาณ ๑๐ นาทีเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ก็จัดแจงซักผ้า เสร็จสรรพเรียบร้อย ตากผ้าแล้วก็มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ในขณะนี้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 04:14 |
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) | |
|
|