|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศยามเช้าที่ Hotel Zhangto Pelri เมืองภูนาคา อยู่ที่ ๑๔ องศาเซลเซียส พวกเราลงมาข้างล่างกันเร็วมาก เจ้าหน้าที่จำหน่ายของที่ระลึกก็เลยไปเปิดร้านขายของให้กับพวกเรา ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะว่าทุกคนขนซื้อกันไปคนละมาก ๆ เนื่องเพราะว่าพวกอัญมณีที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเทอร์คอยส์ ลาพิส อำพัน หรือว่าโรสควอตซ์ก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นของแท้และราคาไม่แพง
เมื่อทางด้านห้องอาหารเห็นพวกเราแห่กันมาก็เลยพลอยเกิดอาการบ้าจี้ เปิดห้องอาหารให้พวกเราทันทีทันควันเหมือนกัน พวกเราก็เลยเข้าไปรอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ เนื่องเพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเปิด เขายังเตรียมของไม่เสร็จ แต่ก็อยู่ในลักษณะที่ว่าใครได้อะไรมาก็กินกันไปก่อน โดยเฉพาะข้าวต้มที่นี่ รสชาติเหมือนข้าวต้มเครื่องบ้านเราเปี๊ยบเลย หลังจากนั้นก็เป็นการเช็คข้าวของ โดยเฉพาะกระเป๋า ขนไปขึ้นรถ วันนี้เรานัดออกเดินทาง ๘ โมง เป็นวันแรกที่เดินทางตรงเวลาเป๊ะ แต่มาเสียท่าตรงที่กระผม/อาตมภาพลืมคืนกุญแจห้องให้เขาเสียนี่..! พวกเราวิ่งขึ้นเขามาเรื่อย ๆ กลับมาทางด้านเมืองทิมพู จนเวลา ๐๙.๒๐ น. ก็มาถึงบริเวณช่องเขาโดชูลา พาส ซึ่งตอนนี้ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นยอดเขาหิมะของเทือกเขาหิมาลัยอีกแล้ว เพราะว่าเมฆหมอกบังไปจนหมด พวกเราจึงสักการะพระสถูป ดรุก วังเกล โชเตน อนุสรณ์สถานสันติภาพทั้ง ๑๐๘ องค์ แล้วก็เข้าร้านกาแฟ ซึ่งบริการฟรีทุกอย่าง กระผม/อาตมภาพฉันชาร้อนไป ๓ แก้ว หลังจากเข้าห้องน้ำแล้วก็มานั่งรอบนรถ เวลาประมาณ ๑๐ โมงตรง พวกเราก็วิ่งลงเขาคดเคี้ยวไปสู่เมืองทิมพู ประมาณ ๑๐.๔๐ น. ก็มาถึงโรงแรม Phuntsho Pelri ที่พวกเราพักกันในวันก่อน บรรดาสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีในคณะต้องมาเปลี่ยนเป็นชุดประจำชาติภูฏานกันที่นี่ แต่ละคนล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมช่วยกันแต่งตัวให้ทั้งสิ้น แล้วก็หามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย กระผม/อาตมภาพซึ่งไม่ได้แต่งตัวกับใคร จึงไปนั่งอ่านหนังสือรออยู่ด้านนอก แต่ว่าสายจนป่านนี้แล้ว อากาศเมืองทิมพูยังอยู่ที่ ๑๐ องศาเซลเซียส รู้สึกเริ่มหนาวสะท้านเหมือนกัน..! จนเกือบ ๑๑ โมงครึ่ง ทุกคนจึงพร้อมกันบนรถ มุ่งตรงไปยังร้านอาหารกลางวัน ซึ่งวันนี้เราสลับที่กันกับรถบัสคันที่ ๒ ก็คือเขาไปกินกันในร้านแรกที่วันก่อนเรากิน ส่วนเราก็มาที่ร้านซึ่งเขากินในวันนั้นเหมือนกัน เป็นภัตตาคารจีนชื่อฝู หลู โซ่ว ถ้าหากว่าเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วก็คือฮก ลก ซิ่ว นั่นเอง นั่งรออยู่ไม่นานอาหารก็ทยอยกันมา รสชาติถูกปากใช้ได้อยู่เหมือนกัน ทำเอาอาหารที่ทางเอ็นซีทัวร์ขนมาเผื่อกลายเป็นหมันไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:01 |
| สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
เมื่ออิ่มแล้ว พวกเราออกมารอเวลาเที่ยงครึ่ง ตามที่นัดกับรถบัสที่ ๒ เอาไว้ แล้วมุ่งตรงไปยังอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ซึ่งสร้างถวายสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ดอร์จี วังชุก รัชกาลที่ ๓ ของราชวงศ์วังชุกแห่งเมืองภูฏาน ซึ่งก็คือพระเจดีย์องค์ใหญ่ ที่พวกเราเห็นที่หน้าร้านอาหารในวันก่อนนั่นเอง
ทุกคนหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย โดยเฉพาะวันนี้ ทางเอ็นซีทัวร์จะขอรูปทุกคนไปทำเป็นแสตมป์เมืองภูฏานให้ กระผม/อาตมภาพถ่ายรูปแล้วก็เดินเข้าไปทางด้านใน เสียดายว่าภายในที่มีบรรดารูปปั้นสวย ๆ งาม ๆ ในหลายชั้นเจดีย์นั้นเขาห้ามถ่ายรูป กระผม/อาตมภาพเดินขึ้นไปชมรูปทีละชั้น ๆ ซึ่งพื้นที่ด้านในคับแคบไปหน่อย ไม่สามารถที่จะชมรายละเอียดทุกอย่างได้ดั่งใจ จนกระทั่งไปถึงชั้นบนสุด ซึ่งน่าจะเป็นบนยอดพระเจดีย์แล้ว ประตูเขางับปิดเอาไว้ ไม่ได้ใส่กุญแจ แต่มีป้าย No Entry กระผม/อาตมภาพจึงเดินย้อนกลับลงมา ฟังไกด์บรรยายเรื่องพระพุทธศาสนาวัชรยาน ที่เป็นการผสมผสานระหว่างมหายานกับตันตรยาน จนกระทั่งจบแล้วก็ลงมาข้างล่าง รอรถมารับพวกเรา มุ่งตรงขึ้นเขาไปยังยอดเขาเมืองทิมพู ซึ่งเป็นที่ตั้งของหลวงพ่อโตดอร์เดนมา ระยะทางที่ขึ้นไปไม่ใช่ใกล้ ๆ เลย แต่ว่าในวันที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีของเราเสด็จมานั้น ชาวภูฏานเป็นแสน ๆ คน เดินเท้าจากเชิงเขาขึ้นไปถวายการต้อนรับที่หน้าหลวงพ่อโตดอร์เดนมา ต้องบอกว่าศรัทธาของชาวภูฏานนั้นช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ..! หลวงพ่อโตดอร์เดนมานั้นเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ สูง ๕๑.๕๐ เมตร ก็คือ ๕๑ เมตรครึ่ง เขาบอกว่าเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก กระผม/อาตมภาพเดินหามุมถ่ายรูปโดยรอบหลวงพ่อโต ทางด้านหน้าเขามีซุ้มสำหรับถวายเครื่องสักการะและตามประทีป ทำให้บังหน้าหลวงพ่อจนไม่สามารถจะถ่ายรูปหมู่ได้ ประกอบกับอยู่ในมุมย้อนแสงด้วย จึงมาถ่ายรูปกันหน้าเครื่องสักการะมหึมา ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราก็คือบายศรีนั่นเอง แต่เป็นต้นบายศรีที่สูงหลายสิบเมตร..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:05 |
| สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
เมื่อได้รูปหมู่แล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินถ่ายรูปรอบข้าง ซึ่งเขามีปั้นสัตว์สำคัญเอาไว้ ก็คือช้าง ๑ คู่ ม้า ๑ คู่ นกยูง ๑ คู่ และพญาครุฑ ๑ คู่ ประดับรวมแล้วทั้ง ๘ ทิศพอดี ด้านบนสุดนั้นเมื่อถอดรองเท้าเข้าไปภายในแล้ว ก็เป็นสถานที่บูชาพระโพธิสัตว์และองค์พระบิดาแห่งเมืองภูฏาน
กระผม/อาตมภาพหยอดตู้บริจาคไปตู้ละ ๑๐๐ งุลตรัม แล้วก็ลงมานั่งรอที่รถข้างล่าง อากาศแถวนี้ค่อนข้างจะเย็นมาก ก็คืออยู่ที่ ๑๒ องศาเซลเซียส ประกอบกับลมแรงเหลือเกิน ไม่เหมาะที่จะมาในฤดูหนาว รอจนกระทั่งบ่าย ๒ ครึ่ง พวกเราลงมาพร้อมเพรียงกันแล้ว ทางเอ็นซีทัวร์ก็พามาซื้อของที่ระลึก กระผม/อาตมภาพเดินดูรอบร้านแล้ว กระซิบบอกหลายคนว่าของทำเลียนแบบมีเยอะมาก ถ้าจะซื้อพวกอัญมณี โปรดระมัดระวังด้วย..! ครั้นได้ของที่ระลึกกันแล้ว ก็ข้ามมาทางด้านไปรษณีย์ภูฏาน เพื่อที่จะรอน้องการ์ตูน (นางสาวศรันย์พร บุรินทรโกษฐ์) เอารูปของพวกเราไปทำเป็นแสตมป์ของภูฏาน ซึ่งดวงตราไปรษณียากรนี้ เขาทำให้คนละ ๑ แผ่น ในราคา ๕๐๐ งุลตรัม ซึ่งเป็นรูปที่เราจะพอใจที่สุดในการเดินทางเที่ยวนี้แล้วส่งให้เขาไป ส่วนอื่น ๆ ก็เป็นข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนกระทั่งของที่ระลึกต่าง ๆ และดวงตราไปรษณีย์รุ่นเก่า ๆ ที่เขาจำหน่ายให้เป็นของที่ระลึก กระผม/อาตมภาพฉวยโอกาสที่นั่งรอ ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เสร็จจากตรงนี้แล้ว พวกเรายังต้องเดินทางย้อนกลับไปยังเมืองพาโร ซึ่งเป็นเมืองที่พวกเรานั่งเครื่องบินมาลง เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ไปยังไฮไลท์ของทริป ก็คือขี่ม้าขึ้นเขารังเสือนั่นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:07 |
| สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|