#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เนื่องจากว่ายังอยู่ในช่วงของกาลกฐิน ประกอบกับมีเจ้าคณะภาคของฝ่ายธรรมยุตได้ออกคำสั่งว่า วัด สำนักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์ใดก็ตาม ที่มีภิกษุจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป จะรับกฐินไม่ได้ โดยที่อ้างบาลีต่าง ๆ นา ๆ มามากมาย แต่เป็นการตีความเข้าข้างตนเองทั้งสิ้น..!
เนื่องเพราะว่าการจำพรรษาของภิกษุที่เกี่ยวข้องกับกฐิน ก็คือภิกษุผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสในอารามนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือในสถานที่นั้น แล้วลองนึกดูว่าภิกษุเราจำพรรษาที่ไหนได้บ้าง ? ในบาลีท่านบอกว่า ในป่าช้า ในป่าชัฏ ในเรือนว่าง ในถ้ำ หรือว่าตามโคนไม้ แล้วถ้าจำพรรษาอยู่ในลักษณะอย่างนั้น จะไปหาภิกษุให้ครบ ๕ รูปได้อย่างไร ? จึงมีการนิมนต์ภิกษุจากอารามอื่นหรือที่อื่นมา เพื่อให้เป็นคณะปูรกะ ก็คือ เพื่อให้ครบองค์สงฆ์สำหรับทำการกรานกฐิน เพียงแต่ติดที่ระเบียบข้อที่เจ้าคณะภาคท่านอ้างขึ้นมาก็คือ ผ้าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของภิกษุรูปนั้น พูดง่าย ๆ ว่าผู้ที่เรานิมนต์มาร่วมงาน ไม่มีสิทธิ์มีส่วนในผ้ากฐินนั้น แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว ในปัจจุบันก็ถวายค่ารถค่าไทยธรรมบางส่วนให้ท่านไป แต่ไม่ได้ถวายผ้าให้กับท่านไป ตามที่กระผม/อาตมภาพกับพรรคพวกที่วิเคราะห์กันในกลุ่มไลน์ ก็คือ ท่านอยากจะแสดงให้เห็นว่าตนเองนั้นเคร่งครัดกว่าผู้อื่น แต่กลับไปตัดโอกาสของบุคคลที่จะได้อานิสงส์กฐินไปเสียมาก เนื่องเพราะว่าอานิสงส์กฐินนั้น ถ้าจำพรรษาโดยไม่ได้รับกฐิน ก็จะได้อานิสงส์เป็นเวลา ๑ เดือน ก็คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ แต่ถ้าได้รับกฐิน ก็ขยายออกไปกลายเป็น ๕ เดือน ก็คือไปจนถึงกลางเดือน ๔ ก็แปลว่าคำสั่งที่ออกมานั้น นอกจากทำให้พระไม่ได้อานิสงส์กฐินแล้ว ญาติโยมก็ยังไมได้ทำบุญกฐินอีกด้วย ก็แปลว่าแม้ท่านจะเป็นพระเถระผู้ใหญ่ก็ตาม อาจจะเป็นเพราะท่านใหญ่จนไม่มีใครกล้าตักเตือนบอกกล่าว ถึงได้มีคำสั่งที่ออกมาแล้วทำให้คนหัวเราะเยาะกันทั้งบ้านทั้งเมือง..! เราจะเห็นว่าคณะสงฆ์ธรรมยุตนั้นแสดงออกซึ่งความเคร่งครัดในสิกขาบทบางอย่าง ว่าเหนือกว่าคณะสงฆ์มหานิกาย อย่างเช่นว่าการไม่รับเงินรับทอง แต่เขาจะมีไวยาวัจกรมาจัดการแทนให้ ซึ่งตรงนี้มหานิกายก็ทำได้เช่นกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:20 |
#3
|
||||
|
||||
![]()
แต่ท่านลองดูสิกขาบทที่ ๘ ในโกสิยวรรค นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์กัณฑ์ ซึ่งระบุไว้ว่า "ภิกษุรับเงินหรือทอง หรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทอง ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" แต่ทางธรรมยุตเขาไม่รับเงินรับทอง แต่ใช้ตั๋วแลกเงินบ้าง ใช้เช็คบ้าง สิ่งนั้นเป็นสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองหรือไม่ ?
พอไปสิกขาบทที่ ๙ ในโกสิยวรรค นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์กัณฑ์ บอกไว้ชัดเจนว่า "ภิกษุรับเองก็ดี หรือว่าใช้ผู้อื่นรับแทนก็ดี ต้องนิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" ก็แปลว่าต่อให้มีไวยาวัจกรรับแทนก็โดนอาบัติเช่นกัน แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปแหกตาชาวบ้านว่าตนเองเคร่งครัดกว่า..!? แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพเจอมาหลายรูป ก็คือท่านไม่ใส่รองเท้า การออกนอกวัดแล้วไม่ใส่รองเท้าไม่ได้แปลว่าเคร่งครัด เนื่องเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้มีรองเท้าได้ ก็คือภิกษุผู้ที่เจ็บเท้า เท้ามีบาดแผล หรือว่าเท้าบาง สามารถใช้รองเท้าได้ แล้วอนุญาตให้มีถึง ๒ คู่ ก็คือใช้สำหรับเดินทาง ๑ คู่ เมื่อถึงที่พัก ทำความสะอาดเท้า ทาน้ำมันดีแล้ว สามารถใช้รองเท้าอีกคู่หนึ่งสำหรับใส่เดินในที่พักได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่คุณไปทำตัวเคร่งครัดว่าไม่ใส่รองเท้าแล้วดีกว่า ? หรือแม้กระทั่งที่พวกท่านทั้งหลายเห็น ก็คือพวกเราเดินตากฝนบิณฑบาต แต่พระธรรมยุตกางร่มเดินบิณฑบาตทุกรูป ถ้าท่านทั้งหลายลองไปดู จะเห็นพระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ก็คือ ให้กั้นร่มไว้ก็คือในอาราม หรืออุปจารแห่งอารามเท่านั้น ในอารามคือในพื้นที่วัด อุปจารแห่งอารามก็คือที่ใกล้เคียงวัด หรือใช้ร่มเพื่อป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบ คราวนี้เราลองคิดว่าดูว่าการเดินบิณฑบาตห่างจากวัดไป อย่างของเราไปกลับ ๕ กิโลเมตร จะนับเป็นอุปจารแห่งอารามได้หรือไม่ ? เพราะอุปจารก็คือใกล้เคียง ข้างวัด โดยเฉพาะวัดเวฬุวันของธรรมยุต อยู่ไกลกว่าวัดท่าขนุนอีก แต่ท่านก็กางร่ม ถ้าจะไปอ้างว่าป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบ ก็แปลว่าต้องป่วยอยู่ก่อน ไม่ใช่ป้องกันไม่ให้อาพาธ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:24 |
#4
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องพวกนี้บางทีพระธรรมยุตท่านก็ "ตีกิน" พระมหานิกายไปเรื่อย ทำเหมือนกับว่าเคร่งครัดกว่า น่าเลื่อมใสกว่า ถ้าภาษาจีนบอกว่า "แป่เอี่ย" ก็คือพอกันนั่นแหละ..! ดังนั้น..เรื่องพวกนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องศึกษาให้ชัดเจน ถึงเวลาสามารถที่จะชี้แจงได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไปเจอพระธรรมยุตฉันน้ำมะพร้าวอ่อนหลังเพลอีก..!
กระผม/อาตมภาพไม่ได้ตำหนิในเรื่องของพระธรรมยุตที่ท่านทำตัวเคร่งครัดในศีล เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ความเคร่งครัดก็คือการป้องกันศีลขาดนั่นเอง อย่างเช่นว่าห้ามจับของที่ญาติโยมยังไม่ได้ประเคน หรือยังไม่ได้ให้ เนื่องเพราะว่าถ้าเราเกิดเถยยจิตคิดจะขโมย ขยับเลื่อนออกจากฐานแค่ ๑/๑๖ ของเส้นผม ถ้าของนั้นราคา ๑ บาท เราก็ขาดความเป็นพระไปแล้ว..! การระมัดระวังในศีลนั้นเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่พอปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าเราเคร่งครัด เราดีกว่า ถ้าลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นสีลพัตตุปาทาน ก็คือการยึดมั่นในศีลพรต หรือหลักปฏิบัติของตนว่าเหนือกว่าผู้อื่น กลายเป็นแบกกิเลสท่วมหัว แทนที่ความเคร่งครัดในการปฏิบัติจะช่วยให้ท่านบรรลุธรรมได้ง่าย ก็กลายเป็นไปแบกกิเลสเอาไว้ จนกระทั่งไม่สามารถจะบรรลุธรรม หรือไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ เรื่องพวกนี้ทุกท่านต้องทำความเข้าใจว่า หลักการนั้นเป็นเรื่องดี แต่ตัวบุคคลที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการนั้นต่างหากถึงจะสำคัญ ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ทำมาอย่างนี้ แล้วเราก็ทำตาม ๆ กันไป เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์ก็ไม่แน่ว่าจะทำถูก ถ้าเกิดความสงสัย ให้ไปศึกษาเปรียบเทียบเอาจากพระไตรปิฎก โดยเฉพาะถ้าเรื่องของศีลพระก็ดูในวินัยปิฎก แล้วดูให้ครบถ้วนด้วย ก็คือวินีตวัตถุ ท่านระบุเอาไว้ว่าทำไมถึงต้องอาบัติ ? แล้วยังมีอนาปัตติวาร ก็คือข้อยกเว้นว่าทำไมถึงไม่ต้องอาบัติ อย่างเช่นว่าภิกษุใช้บาตรดันผู้หญิง พระพุทธเจ้าปรับอาบัติสังฆาทิเสส ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้จับตัวผู้หญิง ก็เนื่องเพราะว่าท่านเกิดจิตกำหนัดขึ้นมา จะจับด้วยมือก็กลัวว่าจะโดนอาบัติ ก็เลยใช้บาตรแทน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:27 |
#5
|
||||
|
||||
![]()
หรือไม่ก็ผู้หญิงเดินข้ามน้ำ ที่ส่วนใหญ่เป็นไม้กระดานแผ่นเดียวแล้วมีราวให้จับ ก็ไปเขย่าราวไม้นั้น พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติสังฆาทิเสส เนื่องเพราะว่าเป็นสิ่งที่เนื่องกับกายหญิง ก็คือผู้หญิงเขาจับอยู่ แล้วตนเองเกิดจิตกำหนัด ไปเขย่าราวไม้นั้น..!
การศึกษาให้ดี ให้ชัดเจน จะช่วยให้เราปฏิบัติได้ถูกต้อง แล้วถึงเวลายังแนะนำสั่งสอนคนอื่นให้ถูกต้องไปด้วย โดยเฉพาะต้องย้ำให้ชัดเจนว่า ความละเอียดในศีลนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เราโดนอาบัติ ไม่ใช่ทำให้เราดีกว่าคนอื่น..! ดังนั้น..เรื่องที่เจ้าคณะภาคท่านประกาศออกมา แล้วทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะกันทั้งบ้านทั้งเมือง โดยเฉพาะพรรคพวกเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพ ใช้คำพูดประมาณว่า "ไม่นึกว่าพระผู้ใหญ่ระดับนั้นจะขยายขี้เท่อออกมาถึงขนาดนี้" ก็อาจจะเป็นเพราะท่านอยากจะแสดงความเคร่งครัดออกมา แต่ว่าศึกษาไม่รอบคอบ แล้วคนก็ไม่กล้าตักเตือนท่าน กลายเป็นสร้างความเสียหายให้กับคณะสงฆ์ธรรมยุตแทน ก็คือแทนที่คนจะเคารพเลื่อมใส ก็กลายเป็นว่าถ้าพระผู้ใหญ่ระดับนั้นยังศึกษาไม่ทั่วถึง แล้วที่เหลือจะดีไปกว่านั้นได้อย่างไร ? ทำให้ชื่อเสียงฝ่ายธรรมยุตเสียหายไปมาก จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระมัดระวัง เพราะว่าสิ่งที่เราคิดยังไม่เป็นไร แต่ถ้าเราพูดหรือทำเมื่อไร จะกลายเป็นนายของเราทันที เพราะว่าคนอื่นจะอาศัยเป็นข้ออ้างว่า เราพูดอย่างนั้น เราทำอย่างนั้น แล้วถ้าลูกศิษย์เอาไปทำต่อ ก็กลายเป็นความผิดพลาดที่ขยายวงกว้างไปไม่รู้จบ..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
พี่เสือ, มารวย๙ |
|
|