กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 20:06
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 589
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 28,220 ครั้ง ใน 1,078 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า วันนี้, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,273
ได้ให้อนุโมทนา: 160,516
ได้รับอนุโมทนา 4,511,746 ครั้ง ใน 36,889 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ พวกเราก็รู้อยู่ว่าบริเวณโดยรอบหลวงพ่อทองคำ ถ้าอะไรที่ใหญ่ขนาดหนูมุดเข้าไป สัญญาณเตือนภัยจะดังขึ้น แต่ก็เผลอกันอยู่เรื่อย..!

อะไรที่เราทำแล้วเป็นข้อผิดพลาดต้องรู้จักระมัดระวัง พูดง่าย ๆ ก็คือผิดครั้งเดียวในชีวิต แล้วก็ถือว่า "ผิดเป็นครู" ต้องมีสติระมัดระวังไว้ ไม่ให้พลาดอีก ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอย่างที่หลวงปู่เจ้าคุณนรรัตน์ (ธมฺมวิตกฺโก) วัดเทพศิรินทราวาส ท่านเขียนด้วยลายมือของท่านเองว่า


ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง

เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า

สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย

ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำ อภัยไฉน !


โดยเฉพาะการที่เราโดนกิเลสคือ รัก โลภ โกรธ หลง จูงจมูกไป เมื่อพลาดแล้วต้องรู้จักระวัง อย่าได้พลาดซ้ำในจุดเดิมอีก พูดง่าย ๆ ก็คือ ใช้บทเรียนครั้งก่อน ระมัดระวังอย่าให้เกิดครั้งใหม่ ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะหกล้มหกลุก เอาดีไม่ได้ตลอดชีวิต..!

โดยเฉพาะกิเลสนั้นมีมายามาก ข้อหลัก ๆ ที่หลอกลวงเรามีแค่ รัก โลภ โกรธ หลง เท่านั้น แต่สามารถออกข้อสอบมาได้เป็นล้าน ๆ ข้อ พูดง่าย ๆ ว่าตราบใดที่สติไม่สมบูรณ์ ตราบนั้นโอกาสที่พลาดยังมีอยู่ แต่พลาดแล้วต้องรีบแก้ไขและระมัดระวังตนเอง ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะพลาดแล้วพลาดเล่าไม่รู้จบ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #3  
เก่า วันนี้, 00:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,273
ได้ให้อนุโมทนา: 160,516
ได้รับอนุโมทนา 4,511,746 ครั้ง ใน 36,889 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับช่วงนี้ก็ออกพรรษาแล้ว ท่านใดที่จะสึกหาลาเพศ ก็ไปแจ้งกับทางเลขาฯ วัด หาฤกษ์ตามปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ถ้าหากว่าไม่รีบร้อนจนเกินไป ดูฤกษ์เอาไว้สักหน่อยก็จะดี เนื่องเพราะว่าบรรดาฤกษ์ต่าง ๆ นั้น เหมือนอย่างกับเราข้ามถนน ถ้าหากว่าข้ามถนนตอนปลอดรถ ก็ปลอดภัยแน่นอน แต่คนเก่ง ๆ เขาสามารถข้ามถนนตอนรถมาก ๆ ก็ได้ เพียงแต่ว่าอย่าพลาด พลาดวันไหนก็บาดเจ็บล้มตาย..! ดังนั้น..ถ้าหากว่าไม่ยากลำบากจนเกินไป เราก็ดูฤกษ์ไว้สักหน่อยหนึ่ง

โดยเฉพาะระยะ ๔ - ๕ ปีนี้ ถ้าไม่ใช่มีงานประจำที่ต้องรับผิดชอบ จะต้องกลับไปจัดการต่อ ถ้าเป็นไปได้ก็อยู่ต่อไปเถอะ ออกไปก็หางานยาก หาเงินยาก เหนื่อยเสียเปล่า ๆ ฉวยโอกาสนี้สั่งสมบุญกุศลใส่ตัวของเราไว้
เพราะว่าการสร้างบุญสร้างกุศลในขณะที่เป็นพระนั้น อานิสงส์มากกว่าที่เราทำตลอดเป็นฆราวาสเป็นแสนเท่า..!

อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า ฆราวาสมีศีล ๕ เป็นต้นทุน เปรียบเหมือนคนมีเงิน ๕ ล้านบาท พระมีศีล ๒๒๗ ข้อเป็นต้นทุน เหมือนกับคนมีเงิน ๒๒๗ ล้านบาท ถ้าหากว่าลงทุนในเรื่องเดียวกันแล้วได้กำไร ผู้ที่ลงทุน ๒๒๗ ล้านย่อมได้กำไรมากกว่าหลายเท่า..! ฉวยโอกาสสร้างสมบุญกุศลเอาไว้ เมื่อถึงเวลา จำเป็นที่จะต้องออกไปทำมาหากิน
คนมีบุญก็เหมือนกับคนมีเงิน ก็คือทำอะไรก็จะสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา

โดยเฉพาะท่านที่ยังไม่ได้บวช ถ้าเป็นไปได้ รีบตะกายบวชเข้ามาให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะเร่งรัด จนกระทั่งเราหมดทางไปเอง เพราะว่าภาวะสงครามตลอดจนกระทั่งเรื่องของดินฟ้าอากาศ จะเร่งรัดเข้ามามาก จนกระทั่งหาทางออกได้ยาก ฉวยโอกาสในการเข้ามาสร้างบุญสร้างกุศลใส่ตัว ให้สมกับเป็นลูกผู้ชาย ที่มีคำพูดประมาณว่า "เกิดเป็นลูกผู้ชายชาติหนึ่ง ถ้าอยากรู้ว่าชีวิตที่ลำบากเป็นอย่างไร ถ้าไม่ไปเป็นทหารก็ให้บวชพระ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), เทิด (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #4  
เก่า วันนี้, 00:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,273
ได้ให้อนุโมทนา: 160,516
ได้รับอนุโมทนา 4,511,746 ครั้ง ใน 36,889 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพเองผ่านมาทั้งสองอย่าง สรุปง่าย ๆ ว่า "เป็นทหารลำบากกาย ส่วนเป็นพระลำบากใจ" เพราะว่าทุกอย่างที่เราเคยทำได้ตอนเป็นฆราวาส พอบวชเข้ามาแล้ว โดนกรอบของศีลบีบบังคับเอาไว้ ไม่สามารถที่จะทำได้อีก..!

คราวนี้เราก็จะรู้ว่ากิเลสหน้าตาเป็นอย่างไร ชีวิตฆราวาสต่อให้อยู่ในกรอบของศีล ๕ ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่กิเลสจะโจมตีเรา เปรียบเหมือนกับเราเดินอยู่ในป่าที่มีเสืออยู่ตัวหนึ่ง ชีวิตฆราวาสบางทีเดินทั้งปีก็ไม่เจอเสือตัวนั้น แต่ชีวิตนักบวช เขาเอาเสือตัวนั้นยัดไว้ในกรงแคบ ๆ กรงเดียวกับเรา จึงโดนเสือฟัดอยู่ทุกวัน..!

ดังนั้น..โบราณเขาถึงได้ให้ลูกผู้ชายทุกคน "บวชก่อนเบียด" แล้วก็บวชอย่างน้อย ๑ พรรษา ก็คือถ้าเราสามารถอดกลั้นอดทนได้อย่างน้อย ๑ พรรษา เขาถือว่าพอที่จะมีวุฒิภาวะไปเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าอย่างกระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ลูกชายบ้านไหนไม่เคยบวช เขาถือว่าเป็น "คนดิบ" ไปขอสาวบ้านไหนก็ไม่มีใครเขาให้ ดังนั้น บ้านของกระผม/อาตมภาพซึ่งมีลูกผู้ชายอยู่ ๖ คน ทั้ง ๆ ที่โยมพ่อเป็นคนจีน มาจากเมืองจีนโดยตรง ยังต้องยอมให้พี่ชายทั้งหมดบวช ไม่เช่นนั้นแล้วหาเมียไม่ได้..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะเห็นว่า สภาพสังคมสมัยก่อนนั้น มีการขัดเกลา ฝึกฝน อบรมตัวเราด้วยการบวช แล้วครูบาอาจารย์สมัยก่อนก็ค่อนข้างที่จะเข้มงวด

สมัยที่ผมยังเด็กอยู่ ใคร ๆ ก็รู้ฤทธิ์หลวงปู่อินทร์ วัดบ้านสระเป็นอย่างดี เพราะว่าถ้าใครไปบวชด้วยแล้วขี้เกียจ ไม่สวดมนต์ทำวัตร ไม่บิณฑบาต ไม่เจริญกรรมฐาน จะโดนท่านฟาดด้วยหางกระเบน..! เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่รู้จักฤทธิ์หางกระเบนว่าเป็นอย่างไร ปลากระเบนนั้นหนังจะเป็นผิวหยาบ ๆ เหมือนกับมีเม็ดทรายติดอยู่ หางปลากระเบนเวลาตากแห้งแล้วตีจะสะบัดดีมาก แล้วด้วยความที่หนังหยาบ ๆ โดนเข้าก็เลือดซิบทุกรอย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #5  
เก่า วันนี้, 00:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,273
ได้ให้อนุโมทนา: 160,516
ได้รับอนุโมทนา 4,511,746 ครั้ง ใน 36,889 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้มีลูกชายกำนันกับลูกชายเถ้าแก่โรงสีบวชพรรษาเดียวกัน ด้วยความที่พ่อรวยบ้าง พ่อมีอิทธิพลบ้าง ก็ไปหาของที่สมัยนั้นหายากมาก ก็คือเครื่องเล่นแผ่นเสียง สมัยนั้นเป็นแผ่นครั่ง ถ้าวางไม่ดี เก็บไม่ดี แผ่นงอเพราะความร้อนเมื่อไรก็เป็นอันว่าเจ๊ง..ฟังต่อไม่ได้..!

ปรากฏว่าสองสหายคู่หู ได้เครื่องเล่นแผ่นเสียงมาก็แอบเปิดฟังกันในกุฏิ ฟังไปฟังมา มีเสียงเคาะประตู คิดว่าเพื่อนพระจะมาร่วมฟังด้วย เปิดประตูออกไป เจอหลวงพ่ออินทร์ ถือ "อีด้วน" ยืนอยู่ คำว่า "อีด้วน" ก็คือหางปลากระเบนอันนั้นแหละ เพราะว่าเป็นหางที่ค่อนข้างสั้นก็เลยเรียกว่า "อีด้วน" หลวงพ่ออินทร์ท่านตีกระจาย ไม่สนใจว่าพ่อมึงจะรวย หรือพ่อมึงจะใหญ่ ตีไปก็ด่าไป ประมาณว่า "ถ้าเรื่องแค่นี้ มึงยังทนอยู่กันไม่ได้ แล้วจะบวชมาทำไม ?" สองสหายไม่มีทางไป เพราะว่าหลวงพ่อท่านยืนขวางประตูกุฏิ จนต้องกระโดดหน้าต่างหนี..!

สมัยนี้ครูบาอาจารย์แบบนั้นหายากแล้ว ขนาดวัดท่าขนุนของเราประกาศชัดเจนว่า "สามเณรมาบวช ถ้าทำผิดโดนตีแน่นอน" ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนที่ผ่านหลักสูตรแล้วเรามีทุนการศึกษาให้ เชื่อว่าคงไม่มีใครเอาลูกมาบวช เพราะว่าโดนตีจริง ๆ ทุกปี..!

สมัยนั้นเขาเรียกว่า "อาญาวัด" เพราะว่าสมภารเจ้าวัดมีอำนาจในการจัดการในขอบเขตของตนเอง หลวงปู่หลวงพ่อบางท่านอายุยืนมาก ตีมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ไปยันรุ่นลูก..! แล้วไม่ต้องเสียเวลาไปฟ้อง ฟ้องเมื่อไรโดนพ่อแม่ซ้ำทันที..! เพราะมั่นใจว่า "ถ้าเอ็งไม่ทำผิด เอ็งไม่โดนตีหรอก" สมัยนี้ถ้าไปแตะลูกท่านหลานเธอเข้า เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #6  
เก่า วันนี้, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,273
ได้ให้อนุโมทนา: 160,516
ได้รับอนุโมทนา 4,511,746 ครั้ง ใน 36,889 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขนาดกระผม/อาตมภาพด่าไอ้ทิดที่มาบวช เพราะท่องขานนาคไม่ได้ พ่อเขายังตามมาเอาเรื่องถึงสำนักงานเจ้าอาวาส บอกว่า "ลูกผมได้รับความเมตตาจากสมเด็จพระสังฆราชตั้งชื่อให้ ไปด่าลูกผมแบบนั้นได้อย่างไร ?" กระผม/อาตมภาพเองยังนึกอยู่ในใจเลยว่า "ลูกมึงไม่สมควรกับที่สมเด็จพระสังฆราชตั้งชื่อให้ โง่เป็นควายขนาดนั้น บอกให้ไปซ้อมท่องขานนาคก็ยอมไม่ท่อง..!"

แต่ก็เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า สภาพสังคมมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ช่วงนั้นเขาก็ยังมีการไปปลุกระดมมวลชน เพื่อที่จะมาขับไล่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน แต่ขอโทษ..ไปโวยผิดคน ไปขอให้ท่านกำนันไพรัช (นายไพรัช ถนอมวงษ์) ช่วยเป็นผู้นำให้ เกือบจะโดนกำนันถีบกลิ้งไปแล้ว..! เพราะกำนันท่านบอกว่า "มึงจำไม่ได้แล้วใช่ไหมว่า สมัยหลวงปู่สายดุกว่านี้อีก..!" กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็ยังขำอยู่เหมือนกัน

ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ในสภาพที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ถ้าเรารู้ตัวว่ากลับไปแล้วช่วยอะไรทางบ้านไม่ได้ หรือว่าท่านที่ยังไม่ได้บวช อยู่แล้วเป็นภาระกับทางบ้าน ฉวยโอกาสบวชมาสร้างบุญสร้างกุศลดีกว่า อย่างน้อยชื่อเสียงเกียรติคุณที่หลวงปู่สาย วัดท่าขนุน ท่านสร้างเอาไว้ เราไปบิณฑบาตก็ยังมีข้าวปลาอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องอยู่เป็นภาระให้ทางบ้านเขาด้วย

แต่เรื่องพวกนี้ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของแต่ละคน เพราะว่าคนเรามักจะกลัวความลำบาก โดยที่ไม่เคยนึกถึงคำว่า "ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ" ดังนั้น..ถ้าไปชวนให้บวช บางคนรู้สึกเหมือนกับว่าชวนไปตายจะง่ายกว่า..! ก็แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะคิดอย่างไร กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่เตือนเอาไว้เท่านั้น

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), กฤษฎากร (วันนี้), เทิด (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), มารวย (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้), หลุดพ้น (วันนี้)
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว