#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพได้นำคณะกรรมการตรวจรับงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน ตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบทุกอย่าง ก่อนที่จะรับการส่งงาน เท่าที่ใช้เวลาไปครึ่งวัน ก็มีส่วนของตัวหนังสือที่ผิดพลาดอยู่บ้าง แล้วก็ในส่วนของเอกสารที่ทางบริษัทจะต้องส่งให้พวกเรา ถ้าตรวจสอบแล้วตรงกันกับทางด้านเจ้าหน้าที่ของเรารับผิดชอบทุกอย่าง ก็ต้องโอนเงินให้เขาไป
การโอนเงินนั้นก็ตัดลงมาเหลือแค่ ๑๗ งวด เพราะว่างวดที่ ๑๘ และ ๑๙ นั้น อยู่ในส่วนการลดลงของงาน แต่กระนั้นก็ตาม ๒ งวด ๑๖ ล้าน แถมยังมีเงินประกันผลงานอีกประมาณ ๖ ล้าน ๘ แสนบาท รวม ๆ แล้วต้องจ่ายประมาณ ๒๒ ล้านบาทเศษ..! ส่วนนี้ไม่ได้หนักใจ เนื่องเพราะว่าต้องการใช้เงินเมื่อไร เงินก็จะมี แต่ส่วนที่หนักใจเป็นงานที่กระผม/อาตมภาพหนีมาหลายปี ก็คือเรื่องที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสั่งเอาไว้ว่า "ถ้าศาลาหลังนี้เสร็จแล้ว ช่วงไหนที่อยู่วัด ให้ออกรับศรัทธาญาติโยมด้วย..!" กระผม/อาตมภาพหนียาวมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ เพราะว่าเรายังมีงานก่อสร้าง มีงานหล่อพระ และท้ายสุดก็งานสร้างพิพิธภัณฑ์อยู่อีก กระผม/อาตมภาพก็ถือว่างานยังไม่เสร็จ เจอไอ้ลูกศิษย์ดื้อเข้า หลวงพ่อท่านก็คงปวดหัวเหมือนกัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:50 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนนี้ไม่ขอกล่าวถึง ส่วนที่จะกล่าวถึงก็คือว่าเรื่องเกี่ยวกับ "สีกากอล์ฟ" ที่ทำให้พระผู้ใหญ่จำนวนมากมีปัญหาต้องอาบัติ ไม่ว่าจะเป็นปาราชิก หรือว่าสังฆาทิเสสก็ตาม แม้จะสึกหาลาเพศไปแล้ว บรรดาคลิปต่าง ๆ ที่ "สีกากอล์ฟ" ได้บันทึกเอาไว้ กลับหลุดสู่โซเชียลจำนวนมาก จนกระทั่งพรรคพวกเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพปรารภกันว่า "น่าจะมีการทำกันเป็นขบวนการ..!"
ประการแรก ถ้าคิดในแง่ร้ายที่สุดก็คือ มีคนต้องการจะทำลายคณะสงฆ์ ซึ่งก็คือทำลายพระพุทธศาสนา ฉวยโอกาสที่ศรัทธาญาติโยมกำลังระส่ำระสาย ก็ปล่อยคลิปต่าง ๆ ออกมาซ้ำเติม ต้องบอกว่าเป็นการกระทำแบบหวังผลชัดเจน ประการที่สองก็คือ เกิดจากความโลภของคน เนื่องเพราะว่านักข่าวทุกคนต้องการคลิปไปนำเสนอ คาดว่ากว่าที่จะได้ไปก็คงต้องจ่ายเงินกันจำนวนไม่ใช่น้อย แล้วบุคคลที่ตั้งใจให้คลิปหลุด ไม่ว่าจะหวังเงินทองหรือหวังชื่อเสียงในการที่จะไปแคนดิเดตตำแหน่งสำคัญอะไรก็ตาม ถ้าเป็นไปตามข้อสันนิษฐานก็ถือว่าเลวร้ายสุด ๆ เพราะเท่ากับว่าเป็นการกระหน่ำซ้ำเติมพระพุทธศาสนา โดยที่ต้องการแค่ผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น..! ประการสุดท้ายก็คือคณะสงฆ์ของเรา ซึ่งกระผม/อาตมภาพไม่เข้าใจเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานวิธีระงับอธิกรณ์ต่าง ๆ ในคณะสงฆ์เอาไว้ถึง ๗ ประการ ก็คือ อธิกรณสมถะ ๗ ทางคณะสงฆ์มีการดำเนินการสอบสวนตามหลักอธิกรณสมถะ ๗ หรือไม่ ? เราจะเห็นว่าไม่มีเลย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระแสโซเชียล และเป็นไปตามความละอายชั่วกลัวบาปของแต่ละท่านที่มีมากน้อยต่างกันไป ตลอดจนกระทั่งได้ยินบางท่านบ่นน้อยใจว่า พระผู้ใหญ่นอกจากไม่สอบสวนแล้ว ยังขอให้สึกหาลาเพศไปเลย เพื่อที่เรื่องจะได้จบ ๆ ลงไป ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ก็ผิดหลักพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:53 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
หลักอธิกรณสมถะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?
๑) สัมมุขาวินัย ก็คือต้องพร้อมหน้าทั้งโจทก์ ทั้งจำเลย และผู้ตัดสินที่ทรงความรู้ ทรงคุณธรรม ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด ก็คือสอบสวนกันให้ชัดเจน แล้วค่อยตัดสินไปตามโทษานุโทษนั้น ๆ แต่ว่าเรื่องพวกนี้กลับลำบาก หลายท่านจะเห็นว่าสมัยที่ท่านอาจารย์พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโตยังเป็นเจ้าอาวาสอยู่ พอมีเรื่องเกี่ยวกับอาบัติของพระภิกษุ กระผม/อาตมภาพจะไล่ญาติโยมออกไปทั้งหมดก่อน แล้วค่อยสอบสวนทวนความหรือตัดสินความกัน เนื่องเพราะยังมีศีลพระที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่า "ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติศีลขาดเหมือนกัน" เพราะว่าเท่ากับไปทำลายศรัทธาของญาติโยม เนื่องเพราะว่าผู้กระทำผิดนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ศรัทธานั้นมีต่อส่วนรวม ก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเป็นยุคนี้สมัยนี้ บรรดาพระภิกษุสงฆ์ที่มาออกคลิปกันอย่างครื้นเครง แถมยังกระทืบกระหน่ำซ้ำเติมอีก อย่างน้อยก็โดนอาบัติข้อนี้ไปกันทุกรูป..! ๒) สติวินัย ซึ่งใช้สำหรับพระอรหันต์เท่านั้น เป็นการประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า บุคคลผู้นี้บรรลุอรหัตผลแล้ว เพื่อที่ไม่ให้ผู้อื่นติเตียนท่านด้วยอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะว่าท่านเป็นผู้มีสติสมบูรณ์ อย่างไรก็ไม่ไปละเมิดอาบัติใหญ่อยู่แล้ว อย่างเช่นว่าพระสารีบุตร ถึงเวลาจริยาไม่เรียบร้อย เจอหลุม เจอร่อง เจอลำธาร ก็กระโดดข้ามไปเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า พระสารีบุตรในอดีตชาติเคยเกิดเป็นลิงติดต่อกัน ๕๐๐ ชาติ จริตนิสัยบางอย่างจึงติดตัวมา ดังนั้น..ในที่ซึ่งบุคคลทั่ว ๆ ไป สามารถสำรวมกิริยาได้ แต่ว่าท่านกลับกระโดดโลดเต้น แต่ว่าท่านก็เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงประกาศบอกต่อสงฆ์ทั้งหลายให้ยึดหลักสติวินัย ก็คืออย่าไปปรับอาบัติเล็กน้อยกับท่าน เพราะว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว เพียงแต่ว่าสมัยนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานแล้ว จะให้บุคคลอื่นมาประกาศว่ารูปนั้นคือพระอรหันต์ รูปนี้คือพระอรหันต์ก็ใช่ที่ เนื่องเพราะว่าไม่ได้รู้รอบรู้จริงแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องราวจึงอาจจะผิดได้ พลาดได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:56 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
๓) อมูฬหวินัย เป็นการที่ให้คณะสงฆ์ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า บุคคลซึ่งเป็นบ้า ขาดสติ ทำสิ่งหนึ่งประการใดที่บุคคลทั่วไปกระทำแล้วต้องอาบัติ เมื่อรักษาท่านหายเป็นปกติแล้ว ให้ถือว่าท่านไม่ได้ละเมิดอาบัติข้อนั้น ก็คือเท่ากับว่าไม่ได้ทำผิด เพราะว่าเป็นการกระทำตอนที่ขาดสติ หรือเพ้อคลั่งด้วยพิษไข้
๔) ปฏิญญาตกรณะ เป็นการปรับโทษตามที่ผู้นั้นสารภาพเอง เพราะว่าบุคคลสมัยก่อนเป็นผู้ละอายชั่วกลัวบาป และมีสัจจะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า "ดูก่อน..โมฆบุรุษ เธอได้กระทำสิ่งนั้นหรือ ?" ก็มักจะรับว่า "พระพุทธเจ้าข้า" เราจะเห็นว่าบุคคลที่ดื้อรั้นสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุฉัพพัคคีย์ก็ดี หรือว่าท่านอุปนันทศากยบุตรก็ตาม แต่เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความดีก็คือยอมรับความจริง ถ้าผิดก็รับว่าผิด แต่สมัยนี้ทุกท่านจะเห็นว่า บุคคลประเภทนี้กลายเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ถ้าหากว่าเป็นภาษิตจีนก็ประมาณ "ขนหงส์ เขากิเลน" คือไม่ต้องไปหวังว่าจะปรากฏขึ้นในโลกนี้ง่าย ๆ..! อาบัติทั้งหลายเราต้องทันทีที่ทำ แต่บุคคลสมัยนี้ คุณปรับอาบัติเขาก็ขออำนาจศาล ศาลชั้นต้นตัดสินว่าผิดก็ร้องศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าผิดก็ร้องศาลฎีกา ต่อให้ศาลฎีกาตัดสินว่าผิด ก็อาจจะไปร้องศาลปกครองต่อไป กลายเป็นว่าบุคคลยุคนี้หาที่ละอายชั่วกลัวบาปได้ยาก ดังนั้น..วิธีตัดสินอธิกรณ์ข้อปฏิญญาตกรณะจึงเป็นเรื่องยากสำหรับยุคนี้ ข้อต่อไปก็ยากเหมือนกันก็คือ ๕) ตัสสปาปิยสิกา จากที่กระผม/อาตมภาพตัดสินความมาก็เจอเยอะมาก ก็คือการตัดสินลงโทษแก่ผู้กระทำผิดที่ไม่ยอมพูดอะไร เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ทราบเหมือนกันว่าไปมีแนวคิดอย่างไร ประมาณว่า "ถ้ากูไม่พูดแปลว่าไม่ผิด" "ถ้ากูไม่รับแปลว่าไม่ผิด" เพราะฉะนั้น..สอบถามอะไรก็หุบปากเงียบ ไม่พูดสักคำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้ตัดสินโทษไปตามที่เขาฟ้องร้อง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:58 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
๖) เยภุยยสิกา เอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่กระผม/อาตมภาพไม่นิยม เพราะว่าผู้ทรงธรรมเป็นเสียงข้างมากก็ดีจริง แต่ถ้าไปเจอโจรเป็นเสียงข้างมากขึ้นมา เราอาจจะตัดสินความผิดพลาดได้..!
อย่างที่ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าพระวัดท่าขนุนเกือบครึ่งวัดในสมัยนั้น ฟ้องร้องทิดท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน กระผม/อาตมภาพยังตัดสินด้วยวิธีสัมมุขาวินัย ค่อย ๆ สอบถาม ค่อย ๆ ไล่เลียง แม้ว่าเขาจะใช้วิธีลื่นเป็นปลาไหล ถามซ้ายตอบขวา ถามไปไหนมาตอบสามวาสองศอก..! ก็ไล่ถามไปเรื่อยจนกระทั่งเขาจนต่อถ้อยคำแล้วยอมรับ ถึงได้ตัดสินความว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว..! เพราะฉะนั้น..ถ้าตัดสินด้วยเสียงข้างมากเป็นประมาณในปัจจุบันนี้อันตรายมาก เพราะถ้าหากว่าคนที่ไม่ชอบขี้หน้ามีมากก็เรียบร้อย คุณจะไปหาความยุติธรรมไม่ได้เลย..! ข้อสุดท้ายก็คือ ๗) ติณวัตถารกวินัย เป็นการไกล่เกลี่ย ประนีประนอม ซึ่งสมัยนี้นิยมกัน แต่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า การไกล่เกลี่ยแบบนี้ทั้งสองฝ่ายต้องเป็นผู้ทรงธรรม คือไม่ว่าจะฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด เพราะว่าถ้าไม่ใช่ผู้ทรงธรรม ไกล่เกลี่ยกันไปแล้ว ไม่อยากมีเรื่อง รับปากว่าเลิกแล้วต่อกันท่ามกลางสงฆ์ แต่ถึงเวลาไปผูกพยาบาทอาฆาต หาเรื่องเอาคืน การไกล่เกลี่ยนั้นก็จะไม่มีประโยชน์เลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:00 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
เท่าที่กล่าวมาวิธีระงับอธิกรณ์ทั้ง ๗ ข้อ ท่านทั้งหลายเห็นว่าคณะสงฆ์เราทำอะไรบ้าง ? เราเป็นพระภิกษุสามเณร สิ่งแรกที่ต้องยึดถือคือพระธรรมวินัย รองลงไปคือกฎหมายบ้านเมือง รองลงไปเป็นจารีตประเพณี ไม่ใช่ถึงเวลาพระธรรมวินัยซึ่งเป็นหลักของพวกเราไม่ได้ใช้งาน แต่ไปปล่อยให้กฎหมายบ้านเมืองจัดการ แบบนี้ก็ไม่น่าจะใช่
ถ้าหากว่าพวกเราจัดการกันเอง ระบุความผิดชัดเจน ลงโทษกันไปเลย จะเป็นอะไรที่งดงามกว่า และทำให้พุทธศาสนิกชนไม่เสื่อมศรัทธา แต่ส่วนใหญ่สมัยนี้มักจะมีการปกป้องกัน เนื่องเพราะว่าผู้ตัดสินไม่ได้ทรงธรรมอย่างแท้จริง ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ต้องประกอบไปด้วยโจทก์ ไปด้วยจำเลย ไปด้วยผู้ตัดสินที่ทรงธรรม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของคณะสงฆ์เราจึงไม่ใช่เรื่องที่จัดการได้ง่าย ๆ ทุกท่านจะเห็นว่าถ้าคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิจัดการอะไรไม่ไหว จะนิมนต์พระครูวิลาศกาญจนธรรมเข้าไปดำเนินการเสมอ พอเรื่องเรียบร้อยลงเมื่อไร ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็จะชักแถวเสนอหน้าไปรับความดีความชอบ กระผม/อาตมภาพก็ถอยออกมาเงียบ ๆ เรามีหน้าที่รักษาพระธรรมวินัยและพระพุทธศาสนา ใครอยากได้หน้าก็ให้เขาไป ทำงานแบบปิดทองหลังพระเป็นดีที่สุด..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:01 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) | |
|
|