#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ข่าวใหญ่ในวงการพระที่มีมาหลายวันแล้ว ก็คือการที่มีสีกาท่านหนึ่งไปมีเพศสัมพันธ์กับพระ โดยเฉพาะระดับพระเถระใหญ่ ๆ โต ๆ เท่าที่ปรากฏก็มีตั้งแต่ระดับเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เหล่านี้เป็นต้น
โดยที่ตำรวจตรวจยึดโทรศัพท์ของสีกาท่านนั้นไปตรวจสอบแล้ว มีรูปที่เกี่ยวข้องกับบรรดาพระผู้ใหญ่ถึง ๘๐,๐๐๐ กว่ารูป..! ตอนนี้การตรวจสอบที่ผ่านมา สามารถระบุตัวตนได้ชัดเจนหลายรูปแล้ว พระผู้ใหญ่บางรูปก็ชิงลาสิกขาเสียก่อนเพื่อให้เรื่องเงียบลง จากรูปถ่ายทั้งหมด สรุปได้ว่าเกี่ยวข้องกับพระผู้ใหญ่ ๓๐ กว่ารูปด้วยกัน..! แต่เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ตำรวจโดยเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่าสีกาท่านนั้นไม่มีความผิดอะไร ซึ่งลักษณะของการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน มีการถ่ายรูป ถ่ายคลิป เพื่อตั้งใจ "แบล็คเมล์" แบบนั้น ยังไม่มีความผิดอะไร ถ้าไม่ใช่ปัญญานิ่มก็ต้องแกล้งโง่เท่านั้น..! เนื่องเพราะว่าวิธีการดำเนินการต่าง ๆ นั้น เป็นไปในรูปแบบเดียวกันทั้งหมด ก็คือเลือกเอาพระที่มีอนาคต อย่างเช่นว่าเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค หรือว่าพระเถระเจ้าคณะปกครองใหญ่ ๆ โต ๆ เพราะมั่นใจว่าพระระดับนั้น ถ้าหากว่ามีปัญหาขึ้นมา เรียกร้องเงินทองเท่าไรท่านก็จะต้องให้ คราวนี้เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของ "กรรมใดใครก่อ" ก็คือใครทำกรรมเช่นไร ถึงเวลาก็ได้รับผลเช่นนั้น แต่ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงสังคมของเรานั้นก็คือ บรรดาผู้ที่เคยศรัทธาในพระพุทธศาสนา ถ้ายังไม่มั่นคงก็เสื่อมศรัทธา ผู้ที่ไม่ศรัทธาก็ยิ่งห่างไกลหนักขึ้นไปอีก..! วันนี้พรรคพวกกันก็คือพระครูเทพ (พระครูปฐมสาธุวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดสี่แยกเจริญพร ส่งรูปมาให้ดู มีญาติโยมครอบครัวหนึ่งไปถวายเทียนพรรษาและหลอดไฟฟ้า แต่ระบุชัดเจนว่า "ไม่ขอถวายกับพระ ให้ช่วยจัดแม่ชีมารับแทนด้วย..!" พระครูเทพก็ไม่ว่าอะไร เพราะเข้าใจดีว่าอารมณ์ของคนตอนนี้ ก็คงขาดความศรัทธาพระอย่างแรง จึงไปตามแม่ชีมาช่วยรับ ยังดีที่วันนี้วัดเรา ทั้งโรงเรียนและหน่วยราชการในอำเภอทองผาภูมิ ทยอยกันมาถวายเทียนพรรษา ยังไม่ระบุว่าให้แม่ชีรับ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:39 |
สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความมั่นคงในพระรัตนตรัยก็จะไม่หวั่นไหวอะไร เพราะว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับนี้ ต้องบอกว่าถึงขนาดพลิกฟ้าคว่ำดิน ทำร้ายความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนมากทีเดียว เพียงแต่ว่าถ้าหากเป็นบุคคลที่มีปัญญา ก็จะแยกแยะออก ว่าอะไรเป็นความประพฤติส่วนตัว อะไรคือหลักธรรมในพระพุทธศาสนา พูดง่าย ๆ ว่าสามารถแยกพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ออกจากตัวบุคคลได้
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ถ้าหากว่านับประชากรไทยประมาณ ๖๘ ล้านคน มีชื่อในทะเบียนบ้านเป็นชาวพุทธ ๙๖ เปอร์เซ็นต์เศษ แต่ว่าเข้าถึงธรรมในระดับที่มั่นคงไม่เท่าไรเอง ส่วนใหญ่แล้วก็ยังถือมงคลตื่นข่าว ไหลไปตามกระแสสังคม ซึ่งมีแต่จะสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตนเอง ทุกข์หนักเลยก็คือไปตำหนิด่าว่าพระสงฆ์ โดยใช้คำว่าพระ ซึ่งแปลว่าผู้ประเสริฐ ถ้าตีความก็คือหมายรวมเอาพระทั้งหมด ตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุด เท่ากับว่าเราจาบจ้วงปรามาสพระรัตนตรัยอย่างแรง ประการที่สองก็คือ เมื่อเสื่อมศรัทธาก็พาตัวออกห่าง โอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากข้อธรรมคำสอน ที่ช่วยให้ชาติปัจจุบันนี้ตนเองมีความทุกข์น้อยลง และถ้าเป็นไปได้ทำให้คติ ก็คือชาติต่อ ๆ ไปมั่นคง อยู่ในด้านดี และถ้าหากว่าบุญวาสนาถึง การสั่งสมบารมีมาครบถ้วนสมบูรณ์ ก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อไม่มีความมั่นคง ที่เลื่อมใสก็ไม่เลื่อมใส ที่ไม่เลื่อมใสก็ยิ่งหลีกห่างออกไปเรื่อย เท่ากับว่าตัดหนทางการเวียนว่ายตายเกิดที่จะสั้นลงของตนเอง ด้วยอาศัยหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรือ เป็นแพ ส่งตนเองขึ้นสู่ฝั่ง กลายเป็นว่ายิ่งทำให้หนทางนั้นยืดยาว จนกระทั่งอาจจะหาต้นหาปลายไม่เจอ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ เพราะปุถุชน คือผู้หนาด้วยกิเลสมีปกติเป็นแบบนั้น ทำอย่างไรที่ทุกคนจะเป็นผู้มีสติมั่นคง ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นส่วนตัว อะไรเป็นส่วนรวม ซึ่งเรื่องพวกนี้ ผู้ที่จะมั่นคงจริง ๆ ต้องปฏิบัติธรรมจนเห็นผลเท่านั้น เพราะว่าสิ่งที่ตนเองทำจะเป็นพยานอย่างดีที่สุด ว่าคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นดีจริงดีแท้ขนาดไหน
ส่วนผู้ที่เป็นปุถุชนคนธรรมดาบวชเข้ามา ต่อให้มีความรู้ทางโลกสูงเพียงไหนก็ตาม ก็พ่ายแพ้ต่อกระแสรัก โลภ โกรธ หลงได้ทั้งสิ้น บางท่านก็ไปดิ้นรนเพื่อยศเพื่อตำแหน่งสูง ๆ ขึ้นไป ด้วยความต้องการในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข บางคนก็สะสมเงินทองสิ่งของต่าง ๆ โดยที่ลืมไปว่าวันแรกที่เราบวชเข้ามา ตั้งใจจะมาละกิเลส บุคคลประเภทนี้มีค่อนข้างจะมาก เพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพหลายต่อหลายรูปก็เป็นแบบนี้ ก็คือตอนแรกก็ตั้งใจมอบกายถวายชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อพระพุทธศาสนา แต่พอลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ประดังกันเข้ามา ก็เริ่มออกนอกลู่นอกทาง จากแต่เดิมเป็นเด็กบ้านนอก คลุกดินคลุกทราย กินอย่างไรก็ได้ นอนอย่างไรก็ได้ ตอนนี้ต้องมีกุฏิทรงสเปนอย่างดี ต้องติดเครื่องปรับอากาศ ต้องติดม่านราคาแพงพอที่จะสร้างกุฏิได้อีกหลังหนึ่ง ต้องมีรถหรู ไม่ว่าจะเป็นรถตู้ หรือว่ารถเก๋ง เหล่านี้เป็นต้น จะว่าไปแล้วก็เป็นธรรมดาของกำลังใจปุถุชน ที่ไม่สามารถจะทนเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลงได้ เมื่อเจอข้อพิสูจน์ก็เป๋ออกนอกทางไป แต่ถ้าไม่ไปทำอะไรที่อยู่ในลักษณะของการทำให้ขาดความเป็นพระ ก็ยังพอเป็นสมมติสงฆ์ที่กราบได้ไหว้ได้อยู่ เพียงแต่ว่ากำลังใจของท่านกับเราต่างกันไม่มากเท่านั้นเอง มีแต่เพศภาวะที่ห่มเหลือง โกนศีรษะ ถือกฎเกณฑ์การดำเนินชีวิตด้วยพระธรรมวินัย แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะต้านรัก โลภ โกรธ หลง ที่มาหนักกว่านั้นได้ ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่าปาราชิกทั้ง ๔ ข้อ คือศีลพระที่เป็นข้อใหญ่ ล่วงละเมิดแล้วขาดความเป็นพระเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 2 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้)
|
#5
|
||||
|
||||
![]()
อันดับแรกก็คือเสพเมถุน การมีผัวมีเมีย ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงมีอนุบัญญัติตามมาเกือบ ๒๐๐ ข้อ ไม่เว้นให้แม้แต่ซากศพ หรือว่าสัตว์เดรัจฉาน แปลว่าลงมือทำเมื่อไร ไม่มีข้ออ้างแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อที่ ๒ ก็คือขโมยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ราคารวมกันได้ ๕ มาสก ซึ่งทางไทยเราตีราคาแค่บาทเดียว จะขาดความเป็นพระทันที แล้วท่านทั้งหลายลองคิดดูว่าในปัจจุบันนี้ไปกันไกลแค่ไหน ถ้าหากว่าตั้งใจเอาเงินสงฆ์แม้แต่บาทเดียวมาเป็นเงินส่วนตัว เราก็ขาดความเป็นพระทันทีที่ทำกรรมนั้นสำเร็จแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครมาจับสึก ถึงบวชอยู่ก็ไม่ใช่พระ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ ก็ไม่ใช่พระ แต่ว่าเรื่องนี้ในปัจจุบันไม่เห็นคนเขาจะเกรงกลัวกัน ที่กระผม/อาตมภาพต้องทำบัญชีวัดด้วยตนเอง ไม่สามารถวางมือให้คนอื่นได้ ก็เพราะเกรงตรงนี้ ว่าท่านทั้งหลายพอเห็นตัวเลขมาก ๆ ระดับเงินหมื่น เงินแสน เดี๋ยวจะเกิดความโลภขึ้นมา พาให้ขาดความเป็นพระได้ง่ายมาก เรื่องที่เราทำทั้งหมด อุปัชฌาย์อาจารย์ท่านบอกตั้งแต่วันแรกในการบวชแล้ว ก็คืออกรณียกิจ ๔ อย่าง สิ่งที่สงฆ์ห้ามทำอย่างเด็ดขาด ข้อที่ ๓ ก็คือการฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ฆ่ามนุษย์ ท่านใช้คำว่า สัญจิจจะ ปาโณ ชีวิตา นะ โวโรเปตัพโพ เจตนาทำให้ชีวิตนั้นตกล่วงไป ก็แปลว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย ตลอดจนไปถึงมนุษย์ก็ตาม เป็นสิ่งที่นักบวชของเราห้ามฆ่าอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากว่าฆ่าคนเมื่อไรก็ขาดความเป็นพระเลย อีกข้อหนึ่งที่พลาดง่ายมากก็คือการอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ไม่ได้ฌาน ไม่ได้สมาบัติ ไม่ได้วิโมกข์ ไม่ได้วิมุติ ไม่ได้มรรค ไม่ได้ผล แล้วไปบอกว่าตนเองได้ ต้องเอามาสอบสวนกันว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างแท้จริง อย่างเช่นว่าทรงฌาน ๔ ต่อเนื่องกันได้เป็นเดือน ๆ รัก โลภ โกรธ หลงไม่เกิด มีสติสมบูรณ์พร้อมทั้งหลับและตื่น แล้วไปคิดว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้า แต่ว่าส่วนใหญ่ที่ทำก็เพื่อหวังลาภผลที่จะเกิดขึ้น กลายเป็นโทษ ๒ ชั้น ก็คืออวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ขาดความเป็นพระไปแล้วยังไม่พอ ยังอยู่ในลักษณะของการฉ้อโกง ก็คือหลอกลวงให้ชาวบ้านมาทำบุญกับตนเอง ซึ่งในลักษณะนี้ถ้าเป็นภาษาบาลี ท่านใช้คำว่า อินะประโภคะ ก็คือการบริโภคใช้สอยแบบเป็นหนี้ชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 2 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กฤษฎากร (วันนี้), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (วันนี้)
|
#6
|
||||
|
||||
![]()
เราจะเห็นว่าในเรื่องของปาราชิก คือศีลพระใหญ่ทั้ง ๔ ข้อ ที่ล่วงละเมิดแล้วขาดความเป็นพระนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายทั้งสิ้น ยกเว้นในเรื่องการฆ่ามนุษย์ให้ตาย เพราะว่าต้องวางแผน ต้องสั่งการ เหล่านั้นเป็นต้น
การเสพเมถุน แค่ชั่วอวัยวะของผู้หญิงกับผู้ชายจรดกัน ที่เขาใช้คำว่ายังมรรคสู่มรรค ก็ขาดความเป็นพระแล้ว หรือว่าลักขโมยหยิบฉวยสิ่งของราคาได้บาทหนึ่งขึ้นไป ทันทีที่ของนั้นหลุดออกจากพื้นที่ตั้งอยู่ ท่านใช้คำว่าเคลื่อนจากฐาน เราก็ขาดความเป็นพระแล้ว หรือตั้งใจพูดอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน พูดจบก็ขาดความเป็นพระแล้ว แต่ว่าในส่วนของการฆ่ามนุษย์ให้ตายยากอยู่นิดหนึ่ง ในเมื่อเราขาดจากความเป็นพระได้ง่ายมาก จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างหนัก ที่กระผม/อาตมภาพบอกว่าท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้อยู่กันยาก เพราะว่าอาบัติตามเข้าไปถึงในมุ้ง เนื่องเพราะว่ามีโทรศัพท์มือถือ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าพอหลัง ๖ โมงเย็น กระผม/อาตมภาพไม่รับโทรศัพท์ด้วยประการทั้งปวง แล้วมาในปัจจุบัน หลายปีที่ผ่านมาไม่รับด้วยตนเอง ถือว่าปลอดภัยไปได้ในระดับหนึ่ง บุคคลที่โทรเข้ามา ถ้าหากว่าไม่ใช่เบอร์ที่บันทึกเอาไว้ก็จะดีดทิ้งหมด ใครที่ทักไลน์เข้ามาเฉย ๆ ให้เวลา ๓ นาที ๕ นาที ถ้าไม่แนะนำตัวว่าเป็นใครก็บล็อคทิ้งหมด ดังนั้น ในส่วนนี้ท่านทั้งหลายต้องพึงระวังให้มากไว้ เพราะว่าเท่ากับโจรอยู่กับเราภายในห้องเดียวกัน พร้อมที่จะทำให้เกิดอาบัติได้ทุกเวลา แล้วถ้ายิ่งอย่างสีกาที่วางแผนอย่างเป็นระบบ จ้องกระทำการเฉพาะนักบวชที่มีศักยภาพพอที่จะหาทรัพย์สินให้ตนเองได้แบบนั้น เขาจะมีความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบรรดาท่านที่ได้ประโยค ๙ เป็นนาคหลวง มักจะบวชตั้งแต่สามเณร ไม่เคยใกล้ชิดผู้หญิงมาก่อน ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมจนเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ตบะแตกง่ายที่สุด พวกเราจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมตำรวจสรุปออกมาได้ว่าเกี่ยวพันกับพระผู้ใหญ่ถึง ๓๐ กว่ารูป แล้วตอนนี้ระดับเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาคก็ชิงลาสึกกันอุตลุด คาดว่าวันนี้ พรุ่งนี้ ทุกอย่างก็จะชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ขอให้พวกเรามั่นคงต่อคุณพระรัตนตรัย วัตรปฏิบัติ ศีล และวินัยอันใดของเรา ตั้งใจรักษาให้มั่นคง ถ้าสามารถเข้าถึงแม้เศษเสี้ยวของธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาของเราท่านทั้งหลายจะไม่คลอนแคลนไปไหน พยายามทำใจให้เขาถึงคุณพระรัตนตรัยที่แท้จริง ไม่ใช่การยึดตัวบุคคล ถ้าสามารถทำแบบนั้นได้ ความมั่นคงจึงจะเกิดกับพวกเราได้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
ภาณุวัฒน์ สิทธิกูล, สุธรรม |
|
|