ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 20-11-2021, 23:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,984 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จากตรงจุดนี้ จะว่าไปแล้วก็สามารถที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ ประการแรกก็คือ พอมีปัญหาขึ้นมาแล้ว เด็กสมัยนี้ยังนึกถึงพระ ยังอยากจะทำบุญ แม้ว่าจะเป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมอะไร แล้วแต่หมอดูจะว่าก็เถอะ ก็ยังอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามมา เรียกให้พระจอดก่อน..! ก็แปลว่า ถ้าหากว่าเรานำเสนอสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไป เด็กก็พอที่จะรับกันได้อยู่

คราวนี้เราจะนำเสนอแบบไหน ? ตรงนี้ต้องการต้นทุนที่สูงมาก ถ้าในทองผาภูมิ ต้นทุนของวัดท่าขนุนมีเพียงพอ ถามว่าต้นทุนสูงมากตรงไหน ? ตรงที่ว่าเจ้าอาวาสสร้างชื่อเสียงเอาไว้เป็นที่เลื่องลือ จนเขาบอกกันว่า "เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุอย่างกับหมา ตรงเวลาจนน่าเกลียด..!" ความจริงก็ภูมิใจนะ ก็คืออย่างน้อย ๆ ญาติโยมเขายังรู้ข่าวรู้คราว ก็แปลว่าเขาก็ให้ความสนใจกับวัดอยู่

คราวนี้ในเมื่อต้นทุนพอ ถ้าหากว่าเราไปบอกไปกล่าว เด็กเขาจะฟัง แล้วยิ่งกระผม/อาตมภาพจบปริญญาเอกมา แถมยังคะแนนยอดเยี่ยมอีกต่างหาก พูดอะไรเด็กก็เชื่ออยู่แล้ว แล้ววัดที่เหลือล่ะ ? ทองผาภูมิมี ๕๒ วัด กับ ๒๓ สำนักสงฆ์ มีอยู่แค่ ๓-๔ วัดเท่านั้นนะที่มีต้นทุนเพียงพอ

ตรงจุดนี้ทำอย่างไรที่จะให้ทุกวัดมีต้นทุนที่เพียงพอ ? ก็ต้องฝากความหวังไว้กับพระเณรรุ่นใหม่ ๆ ถามว่าทำไมต้องฝากไว้กับรุ่นใหม่ ? เพราะว่ารุ่นเก่าเป็นไม้แก่ ดัดไม่ไปแล้ว อย่างพระวัดท่าขนุนของเรา
ถ้าหากว่าหลวงพ่ออยู่วัด ได้ฟังการอบรมอยู่ตลอดเวลา ก็จะรู้แนวคิด รู้วิธีการ ถ้าหากว่าใครตั้งใจศึกษา หาหน้าที่การงานรับผิดชอบ ก็จะรู้ด้วยว่าแนวทางการบริหารจัดการเป็นอย่างไร แต่วัดอื่นเขาไม่มีตรงนี้ ในเมื่อไม่มีตรงนี้ จะให้เหมือนกันทุกวัดก็ยาก จึงเป็นเรื่องของพระอุปัชฌาย์อาจารย์และเจ้าอาวาส ที่ทำอย่างไรจะเข้มงวดกับพระเณรของตนเอง

อย่างที่กระผม/อาตมภาพตั้งเป้าไว้ ไม่มากหรอก แค่บวชเข้ามาแล้ว ให้โยมไหว้ได้เต็มมือก็พอ ไม่ต้องไปบรรลุมรรคบรรลุผลอะไรทั้งนั้นแหละ คือต่อให้เป็นสมมติสงฆ์ ก็เป็นสมมติสงฆ์แบบที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งเป้าไว้ ก็คือมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิทรงตัวบ้าง ไม่ใช่โดนกิเลสกินอยู่ตลอดเวลา ถึงจะไม่ได้เป็นพระโสดาบันยันพระอรหันต์ก็ไม่เป็นไร

แต่คราวนี้มีจุดบกพร่องที่บุคลากรซึ่งจะเข้ามาบวช ส่วนใหญ่ "เหลือเลือก" แล้ว แทบทุกวัดในปัจจุบันนี้ พอพ่อแม่เอาไม่อยู่ก็ส่งลูกไปบวช หวังว่าหลวงพ่อจะเอาอยู่ แล้วส่วนใหญ่ก็ไปเจอหลวงพ่อที่เกรงใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่กล้าดุด่าว่ากล่าว ไม่กล้าลงโทษ จนกระทั่งหลวงพ่อเจ้าคุณพยอมท่านบอกว่า "สมัยก่อนเขามีแต่เอาหมูหมากาไก่ไปปล่อยวัด สมัยนี้คนเราก็แปลก ชอบเอาเหี้ยมาปล่อยวัด..!"

ก็คือส่วนใหญ่พ่อแม่เอาไม่อยู่แล้ว ไปฝากความหวังไว้กับวัด มาถึงก็ "ท่านเจ้าขา..ช่วยทีเถอะ อบรมลูกอิฉันให้เป็นคนดีหน่อย" "แล้วโยมจะให้ลูกบวชกี่วัน ?" "๗ วันเจ้าค่ะ" กูเป็นเทวดาหรือเปล่าวะ ? โยมเลี้ยงลูกมาจนกระทั่งบวช อย่างน้อยก็ ๒๐ ปี ยังเอาดีไม่ได้เลย แล้วให้เวลาพระ ๗ วัน ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2021 เมื่อ 02:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา