ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 01-08-2021, 22:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,610
ได้ให้อนุโมทนา: 151,798
ได้รับอนุโมทนา 4,413,111 ครั้ง ใน 34,200 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ตรงกับวันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ปีฉลู ซึ่งในช่วงเช้าทางวัดท่าขนุนของเรา ก็จัดให้มีการทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ และเจริญพระพุทธมนต์ไปแล้ว ช่วงค่ำก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาอีก ๑ กัณฑ์

คราวนี้ในส่วนของวันพระ ทำไมตั้งแต่ก่อนพุทธกาล หรือว่าในสมัยพุทธกาล ถึงได้กำหนดว่า ต้องเป็นวันขึ้นหรือแรม ๑๕ ค่ำหรือ ๑๔ ค่ำ ? ทำไมต้องเป็นวันขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ ? เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้และเข้าใจอย่างแท้จริง

เอาแค่สมัยพุทธกาล ก็มีศาสดาเจ้าลัทธิอยู่ถึง ๖๒ ลัทธิ ซึ่งลัทธิทั้งหลายเหล่านี้เชื่อว่าตายแล้วเกิดบ้าง เชื่อว่าตายแล้วสูญบ้างให้ยุ่งไปหมด ตอนแรกตัวกระผม/อาตมภาพเอง ก็คิดว่า ทำไมลัทธิเฮงซวยห่วยแตกแบบนี้ ยังมีคนนับถือกันมากมายนักขนาดนั้น ? แต่พอศึกษาลึกซึ้งเข้าไปจริง ๆ แล้ว ถึงได้ทราบว่าเจ้าลัทธิเหล่านี้ทั้งหลายเป็นของจริงทั้งสิ้น

๖๒ ลัทธิที่ว่านั้นแบ่งออกเป็น ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิอยู่ ๑๘ ลัทธิ อปรันตกัปปิกทิฏฐิอีก ๔๔ ลัทธิ บรรดาปุพพันตกัปปิกทิฏฐินั้น สามารถระลึกชาติย้อนอดีตได้ ในพระไตรปิฎกบอกว่าร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ครึ่งกัปบ้าง หนึ่งกัปบ้าง ของเราแค่ระลึกได้เป็นพันชาติก็แย่แล้ว นั่นระลึกย้อนหลังได้เป็นกัป กัปหนึ่งนี่เราเกิดเป็นล้าน ๆ ชาติเลย..!

ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐินั้น สามารถที่จะเห็นอนาคตได้ ว่าคนเราตายแล้วไปเป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดานางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง เป็นอรูปพรหมบ้าง ก็ลักษณะเดียวกัน คือ สามารถมองล่วงหน้าไปได้มากน้อยต่างกันตามกำลังของตน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-08-2021 เมื่อ 23:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา