ในเรื่องของการทำบุญทำกุศล แล้วผู้ตายได้รับหรือไม่ได้รับ คนและสัตว์ที่สามารถเห็นด้วยกันได้ ให้บอกกล่าว ถ้าเขายินดีโมทนาด้วย เขาจะได้รับ แล้วการตั้งกำลังใจอนุโมทนานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะว่าต้องเป็นกำลังใจที่ยินดีกับความดีของคนอื่นอย่างแท้จริง
ดังที่กระผม/อาตมภาพเคยกล่าวมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า ในปัจจุบันนี้เราอนุโมทนาบุญ แทนที่จะได้สัก ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของคนทำ เราก็อาจจะได้สัก ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะว่าที่เรายกมือสาธุนั้น กำลังใจของเราไปอยู่ในลักษณะว่า "กูจะเอาของมึง" ไม่ใช่การยินดีออกจากใจจริง แต่เป็นจิตที่ประกอบไปด้วยโลภเจตนา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กำลังบุญที่ควรจะได้จึงลดน้อยถอยลง เพราะว่าวางกำลังใจผิด
ฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ต่อให้เราเข้าใจถูกแล้ว ก็ให้ดูกาลเทศะด้วย จะบอกจะตักจะเตือนคนอื่น โบราณเขาบอกว่า "ตบคนอย่าตบหน้า ด่าคนให้ด่าลับหลัง" คำว่า ด่าลับหลัง ก็คือด่ามันนั่นแหละ..! แต่ให้ด่าลับหลังคนอื่น ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะเสียหน้ามาก เพราะว่าเท่ากับเราไปประจานเขาในที่สาธารณะ แต่ชมคนให้ชมต่อหน้า เขาจะได้หน้า กำลังใจเขาจะดีขึ้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าโลกนี้เป็นอย่างนั้นเอง
"ชมคนให้ชมต่อหน้า ด่าคนให้ด่าลับหลัง" ตีความให้ถูกนะ ไม่ใช่ว่าลับหลังแล้วเราก็ไปด่าเขาอยู่คนเดียว..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2022 เมื่อ 02:40
|