ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 08-10-2013, 11:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,634
ได้ให้อนุโมทนา: 151,878
ได้รับอนุโมทนา 4,414,015 ครั้ง ใน 34,220 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าญาติโยมประพฤติปฏิบัติไป จนกำลังใจทรงตัวถึงระดับหนึ่ง ก็จะเริ่มมีปัญญามองเห็นความเป็นจริงว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของบุคคลอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี แม้กระทั่งผู้ทรงคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ อย่างหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ก็มรณภาพจากเราไปแล้ว หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล ที่เป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งในและนอกประเทศจำนวนมาก อายุกาลผ่านวัยมาถึง ๑๑๗ ปีก็ยังมรณภาพจากเราไปเช่นกัน

เราจะได้เห็นชัดว่า ความตายมาถึงตัวเราเป็นปกติ ถ้าเราตายแล้วตกสู่อบายภูมิ ก็ถือว่าขาดทุนยับเยิน เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ดังนั้น..เราจึงต้องเร่งปฏิบัติในศีล สมาธิและปัญญาให้มากเข้าไว้ จนกระทั่งกำลังใจของเรามั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลนไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบรอบด้าน ไม่เกรงกลัวแม้กระทั่งความตายที่มาถึง ถ้าทำดังนี้ได้ ท่านก็จะมีสุคติเป็นที่ไป

หรือถ้าท่านเบื่อหน่ายแล้วซึ่งร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เบื่อหน่ายโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อน หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ไม่ปรารถนาการเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าหรือเป็นพรหม เราก็ถอนจิตจากการยึดเกาะในร่างกายของตนเอง ในร่างกายของผู้อื่น ในโลกนี้ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย ก็สามารถที่จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายเมื่อปฏิบัติของเราแล้ว ก็ควรที่จะพินิจพิจารณาอยู่เสมอว่า เมื่อสิ่งต่าง ๆ มากระทบกำลังใจของเรา ยังมีความหวั่นไหว มีความโศกเศร้าเสียใจอยู่หรือไม่ ? ถ้าไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ ก็อย่าเพิ่งคิดว่าดี เพราะอาจจะเป็นเรื่องไกลตัว ถ้าเรื่องใกล้ตัวเข้ามา เป็นพ่อแม่ เป็นพี่น้อง เป็นคนที่เรารัก เรามีความหวั่นไหวหรือไม่ ? ถ้าไม่มีความหวั่นไหว ก็ยังต้องระมัดระวังว่า นั่นยังเป็นเรื่องของคนอื่น ถ้าความตายมาถึงตัวเรา เรามีความหวั่นไหวบ้างหรือไม่ ?

จำเป็นที่จะต้องทบทวนดูกำลังใจของตนอย่างนี้อยู่เสมอ ๆ ถ้าไม่หวั่นไหวแม้ความตายมาถึง ก็ให้เรากำหนดจุดหมายไปเลยว่า ถ้าหากว่าตายลงไปเมื่อไร เราปรารถนาพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น เมื่อกำลังของเรายึดโยงแน่วแน่แล้ว ก็ให้จับลมหายใจเข้าออกภาวนาต่อไป เพื่อสร้างความมั่นคงให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ลำดับต่อไป ก็ให้พวกเราภาวนาหรือพิจารณาไปตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2013 เมื่อ 15:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา