ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 24-02-2022, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,179 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โยมพ่อเล่าว่า "กลางดึกงูเลื้อยออกจากถ้ำมา พระท่านกำดินสาดไปกำมือหนึ่ง งูหดหายกลับเข้าไปในถ้ำ แล้วท่านก็เอาเชือกเล็ก ๆ ไปขึงขวางปากถ้ำไว้ แล้วก็นั่งหลับ" นี่เป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพแปลจากภาษาจีนที่พ่อเล่าให้ฟัง ก็คงประมาณว่าพองูออกมา พระธุดงค์ก็เอาทรายเสกซัด พองูหดหายไปก็เอาสายสิญจน์ไปขึงขวางปากถ้ำ แล้วท่านก็นั่งเจริญกรรมฐานของท่าน แต่โยมพ่อเล่าให้ฟังว่า "พระนั่งหลับ..!"

ด้วยความที่เห็นคาตาว่างูใหญ่ขนาดนั้น ซึ่งตนเองแม้จะมีปืนก็ทำอะไรงูไม่ได้แน่ แต่พระท่านใช้ดินทรายแค่กำมือเดียวซัดไป งูก็ยอมถอย โยมพ่อจึงถามพระท่านว่า "มีอะไรดีถึงไม่กลัวงู ?" พระท่านบอกว่า "มีคาถาวิเศษ ถ้าจะเรียนก็จะบอกให้" โยมพ่อก็เลยขอเรียนคาถา เมื่อบอกคาถาให้แล้วพระท่านก็ยังย้ำว่า "ให้สวดไว้ทุกวัน ถ้าจะให้ดีก็จัดข้าวนิด น้ำหน่อย ขนมนิดหนึ่ง ใส่กระทงบูชาพระแล้วค่อยสวดมนต์ ก็จะทำให้กำลังใจของเรามั่นคงเร็วขึ้น" โยมพ่อก็ทำตาม สวดมนต์ทุกวัน

ตรงจุดนี้มีเรื่องแปลกที่ว่าโยมพ่อพูดได้แต่ภาษาจีน ส่วนสมัยนั้น คนจีนไม่นิยมการบวช ขนาดมาถึงรุ่นพี่ชายของกระผม/อาตมภาพ บวช ๒ คนพร้อมกัน โยมพ่อเดินแห่รอบโบสถ์ก็เช็ดน้ำตาไปด้วย ไม่ได้ปีติที่ลูกบวช แต่โยมพ่อเข้าใจว่าเสียลูกชายไป ๒ คน เพราะว่าพระจีนบวชแล้วไม่สึก ไม่รู้ว่าพระไทยบวชแล้วสึกได้ ในเมื่อคนจีนไม่นิยมบวช ก็แปลว่าพระรูปนั้นไม่น่าจะพูดภาษาจีนได้ แต่กลับสามารถสื่อกับโยมพ่อ แล้วคุยกันรู้เรื่องทุกอย่าง นี่เป็นประการแรก

ประการที่สอง เรื่องที่พระรูปนั้นสอนโยมพ่อให้สวดมนต์ทุกวันพร้อมกับถวายข้าวพระ ตรงกับ "วิธีหนีนรกแบบง่าย ๆ" ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสอนพวกเรามา และที่แน่ ๆ บทสวดที่ว่าเป็น "คาถาวิเศษ" เมื่อกระผม/อาตมภาพเริ่มรู้ความสักประมาณ ๒ ขวบ แล้วโดนโยมพ่ออุ้มพาดบ่า คอพับคออ่อนสวดมนต์อยู่ทุกวันจนจำขึ้นใจ ก็คือบท อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ตรงจุดนี้ เราจะเห็นว่าสิ่งที่พระท่านสอนนั้น ตรงกับที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกทุกอย่าง

คราวนี้ในช่วงนั้น ทางบ้านของกระผม/อาตภาพนั้นอยู่ในพื้นที่ป่าเสียส่วนมาก จะมีชุมโจรใหญ่เลยอยู่ที่ทะเลบก ซึ่งพื้นที่ช่วงนั้นเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอสองพี่น้องของจังหวัดสุพรรณบุรี กับอำเภอพนมทวนของจังหวัดกาญจนบุรี และอำเภอกำแพงแสนของจังหวัดนครปฐม เป็นป่าใหญ่มาก เวลาพลตระเวนมา ก็คือตำรวจนั่นแหละ ถ้าเป็นสมัยนี้คือตำรวจกองปราบ สมัยโน้นเขาเรียกว่าพลตระเวน

ถ้าหากว่าทางด้านนครปฐมมาปราบ โจรก็หนีข้ามไปสุพรรณหรือหนีข้ามไปกาญจนบุรี ถ้ากาญจนบุรีมาปราบก็หนีข้ามมานครปฐม หรือว่าข้ามไปสุพรรณบุรี ถ้าสุพรรณบุรีมาปราบ ก็หนีข้ามไปกาญจนบุรี หรือว่าหนีมานครปฐม เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับตำรวจแบบนี้ จนไม่มีวันที่จะปราบได้สิ้นได้สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-02-2022 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา