ถ้าใช้กำลังใจอย่างเดียวล้วน ๆ ท่านก็จะบรรลุมรรคผลในลักษณะของเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มกิเลสจนกิเลสแห้งตายไปเอง แบบเอาหินทับหญ้าไว้
แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใช้ปัญญาเข้าไปร่วมพินิจพิจารณา จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนความอยากทั้งปวงออกไปได้ ท่านจะบรรลุแบบปัญญาวิมุติ ก็คือใช้ปัญญามองเห็นความเป็นจริง ปล่อยวาง..แล้วก็หลุดพ้น
แต่คราวนี้สิ่งที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่นั้น มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมเป็นห่วงมากในปัจจุบัน ก็คือเราปฏิบัติกันในสายพองยุบครับ ซึ่งผมอยากจะบอกว่า ครูบาอาจารย์ในปัจจุบันนี้สอนผิดเป็นส่วนใหญ่..! เหตุที่บอกว่าสอนผิดเป็นส่วนใหญ่ ก็เพราะว่าถึงเวลาปัญญาเกิด เราจะต้องพินิจพิจารณาหาหนทาง ทำอย่างไรที่เราจะหลุดพ้นจากตรงนี้ แต่ท่านทั้งหลายได้รับการสอนว่า "ให้ภาวนาว่าคิดหนอ..คิดหนอ..คิดหนอ..คิดหนอ" ก็ไปตัดตรงนั้นจนหมด สมาธิที่ท่านกำลังดำเนินไปด้วยดี กำลังก้าวขึ้นสู่อัปปนาสมาธิขั้นสูงขึ้นไป ก็ไปโดนกระชากกลับลงมา ที่อย่างเก่งก็ขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิ ไม่เพียงพอต่อการใช้งานครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2021 เมื่อ 02:17
|