ดูแบบคำตอบเดียว
  #87  
เก่า 13-02-2011, 21:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,519 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาบอกว่า ต้องทรงฌานให้มากที่สุด เกี่ยวไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรกิเลสก็กินเรา เพียงแต่ให้ทรงในลักษณะที่มีสติ มีปัญญาประกอบรู้อยู่เสมอว่า นี่เป็นเครื่องมือที่จะพาเราให้พ้นกิเลส ไม่อย่างนั้นคนจำนวนมาก จะไปหลงติดอยู่ในสุขของฌานที่ปราศจากกิเลส และไม่คิดจะขยับขยายไปทำอะไรอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นรูปราคะสังโยชน์หรืออรูปราคะสังโยชน์ แล้วแต่ว่าตัวเองได้รูปฌานหรืออรูปฌาน

ถาม : ถ้าเราทรงปฏิภาคนิมิตในกสิณใดกสิณหนึ่ง เราจะน้อมไปเป็นอาสวักขยญาณได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้..ลักษณะเดียวกัน เพราะตัวปฏิภาคนิมิตในกสิณนั้น ต้องเป็นฌานสี่จึงจะเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มที่ เราก็ใช้กำลังของฌานในการละนิวรณ์ ๕ หรือเรื่องการระมัดระวังศีลของเรา หรือใช้ในเรื่องการตัดสังโยชน์

ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ถือว่าเป็น..?
ตอบ : เป็นการซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสได้ทัน ต้านกิเลสได้ทัน

ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ยังไม่ใช่อาสวักขยญาณ ?
ตอบ : การพิจารณาองค์ฌานเป็นสมถกรรมฐาน ต้องตัดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อยได้ ๓ ข้อแรก จึงจะเป็นอาสวักขยญาณ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 03:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา