ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 31-05-2021, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,164 ครั้ง ใน 34,070 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..วิธีการที่เหมาะสมที่สุดก็คือ เจริญภาวนาจนกระทั่งเกิดกำลังแล้ว ก็ใช้ปัญญาพินิจพิจารณา เหมือนกับการที่คนเราโดนผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวไปทีละข้าง ภาวนาแล้วก้าวไปข้างหน้า ถ้าไม่พิจารณาตาม ก็ไม่สามารถที่จะก้าวต่อไปได้

เมื่อพิจารณาแล้ว ก้าวไปข้างหน้า กำลังในการพินิจพิจารณาก็ทำให้สมาธิหมดลง คลายตัวลง ถ้าไม่ภาวนาต่อ ก็ไปไม่ได้ ดังนั้น..การที่จะเน้นอย่างเดียวเป็นเรื่องที่ยากสุด ๆ เรื่องของเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติจึงควรที่จะปฏิบัติด้วยกัน เพื่อที่จะได้เข้าถึงได้เร็วขึ้น คำว่า เข้าถึง ในที่นี้ก็คือ เข้าถึงความสงบระงับจากกิเลส โดยเฉพาะสงบระงับถึงที่สุด คือพระนิพพาน

คำถามต่อไป คือ ปัญญาวิมุติคือการหลุดพ้นอย่างแท้จริง สืบเนื่องจากการทำวิปัสสนาจนรู้แจ้งแทงตลอดใช่หรือไม่ ? เป็นการหลุดพ้นอย่างถาวร คือ เป็นพระอรหันต์ใช่หรือไม่ ?

คำว่า วิมุติ หมายเอามรรคผลตั้งแต่ระดับต้น คือโสดาปัตติผลขึ้นไป เป็นการหลุดพ้นเป็นชั้น ๆ ไป คราวนี้ถ้าเราสับสน เอาไปปนกับวิมุติ ๕ เข้า ก็จะมั่ว ๆ หน่อย

วิมุติ ๕ ที่อรรถกถาจารย์ท่านแยกเอาไว้ประกอบไปด้วย วิกขัมภนวิมุติ เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว เพราะใช้กำลังใจข่มไว้ ก็คือด้านเจโตวิมุตินั่นแหละ พอมีฌานสมาบัติแล้วก็กดกิเลส ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ดับลงชั่วคราว เผลอเมื่อไรก็กำเริบอีก

วิมุติอย่างที่สองเรียกว่า ตทังควิมุติ เป็นการหลุดพ้นด้วยองค์นั้น ๆ คำว่า องค์นั้น ๆ อย่างเช่นว่า ความโลภ เราสามารถสลัดออกหลุดพ้นไปด้วยการให้ทาน แต่ไม่สามารถที่จะตัดขาดอย่างเด็ดขาดได้ เพราะว่าถ้าไปเจอสิ่งที่ชอบใจก็อยากได้อีก ก็ต้องสละออกใหม่ เป็นต้น หรือว่าเกิดโทสะ แผ่เมตตาก็สามารถระงับได้ชั่วคราว ถึงเวลาถ้ากำลังของเมตตาพรหมวิหารลดลง โทสะก็เกิดอีก

อย่างที่สามเรียกว่า สมุจเฉทวิมุติ เป็นการหลุดพ้นอย่างเด็ดขาด บางท่านอธิบายว่าเป็นการหลุดพ้นด้วยอำนาจของมรรค อย่างเช่นว่า โสดาปัตติมรรค หลุดพ้นจากวิจิกิจฉาอย่างเด็ดขาด ก็คือ เห็นคุณของพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงแล้ว ไม่สงสัยในพระรัตนตรัยอีก เป็นต้น

ข้อต่อไปคือ ปฏิปัสสัทธิวิมุติ หลุดพ้นด้วยความสงบระงับ ที่บางท่านอธิบายว่าเป็นการหลุดพ้นด้วยผล ก็คือเข้าถึงแล้ว จึงไม่กำเริบอีก

วิมุตติข้อสุดท้าย คือ นิสสรณวิมุติ หลุดพ้นด้วยการสละออก ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็ไม่เอาแล้ว ถอนกำลังใจออกมา เพราะเห็นทุกข์เห็นโทษแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็สามารถหลุดพ้นไปได้

คราวนี้ถ้าหากว่าเราไปเอาเรื่องพวกนี้มาปนกับเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ก็ต้องแยกให้ออกด้วยว่า เจโตวิมุตติส่วนใหญ่แล้วก็คือวิกขัมภนวิมุตติ จนกว่าที่คุณจะสามารถกดกิเลสได้นานพอแล้วกิเลสดับไปเอง ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นสมุจเฉทวิมุติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-05-2021 เมื่อ 00:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา