ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 05-06-2022, 01:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,826 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคล ๔ เหล่านั้นก็คือ อุคฆฏิตัญญู เป็นผู้มีปัญญามาก ฟังเพียงข้อหัวธรรมก็บรรลุมรรคผลได้ อย่างที่พระอัสสชิกล่าวว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสถึงเหตุและความดับแห่งธรรมนั้น" อุปติสสมาณพซึ่งภายหลังคือพระสารีบุตร ก็บรรลุความเป็นพระโสดาบันเลย

ประเภทที่ ๒ คือ วิปจิตัญญู เป็นผู้ที่มีปัญญาลดลงมานิดหนึ่ง ต้องได้รับการขยายความอธิบายจึงเข้าใจ แล้วเข้าถึงมรรคถึงผลช้ากว่าประเภทแรกอยู่เล็กน้อย

ประเภทที่ ๓ คือ เนยยะ เป็นบุคคลอันพึงสั่งสอนได้ แต่ครูบาอาจารย์ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชกันอยู่ทุกวัน เพราะถ้าไม่ตอกย้ำหัวตะปูไว้ก็อาจจะลืม

ประเภทสุดท้ายคือ ปทปรมะ เป็นบุคคลที่ฉลาดเกินไปจนไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว ไม่รับอะไรทั้งสิ้น ต่อให้หลักธรรมมีคุณค่าแค่ไหน ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนเหล่านี้

ส่วนดอกบัว ๓ เหล่านั้น ก็คือ บัวพ้นน้ำ ที่กระทบแสงอาทิตย์แล้วก็บานได้เลย บัวปริ่มน้ำ รอเวลาโผล่พ้นขึ้นมาในวันต่อไป และบัวใต้น้ำ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่ามีแต่จักเป็นอาหารของปลาและเต่า..!

เพราะฉะนั้น...ถ้าใครบอกว่าบัว ๔ เหล่า พวกเราก็ไม่ต้องไปนั่งเถียงกับเขา แต่ให้รู้ไว้ว่าพระไตรปิฎกกล่าวไว้อย่างนี้

คราวนี้บรรดาท่านทั้งหลายที่ต้องการแต่หลักธรรมบริสุทธิ์ โดยที่ไม่ได้ดูความเป็นจริงในโลกว่าบุคคลมีหลายประเภท และปัจจุบันนี้ประเภทดี ๑ ประเภท ๑ ก็น้อยมาก จึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องยึดเครื่องเกาะให้แก่เขาเหล่านั้น เหมือนอย่างกับเด็กหัดเดินก็ต้องมีเครื่องอาศัยยึดเกาะ ถึงจะเดินแข็งแรงได้ทีหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2022 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา