หลังจากนั้นก็เป็นปัญญาภูมินิเทส แสดงถึงปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ประการ ส่วนนี้ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติเข้าถึงจริง ๆ ไปไม่รอดนะครับ
อวิชชาปัจจะยา สังขารา อวิชชาความไม่รู้หรือรู้ไม่หมด เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารคือความปรุงแต่ง ไอ้รู้ไม่หมดนี่รู้อย่างไรครับ ? ก็อย่างเช่นว่าเห็นรูป เกิดยินดี เกิดพอใจ เมื่อเกิดยินดี เกิดพอใจก็อยากมีอยากได้สิครับ ตัวยินดีและพอใจนั่นแหละครับ ปรุงแต่งไปแล้วครับ ดังนั้น...ความไม่รู้เลยทำให้เกิดการปรุงแต่ง อวิชชาคือความไม่รู้ หรือรู้ไม่หมด ทำให้เกิดสังขาร การปรุงแต่งขึ้น
สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง ในเมื่อคุณปรุงแต่งแล้ว จะรับรู้ได้อย่างไรละครับ ? ก็ต้องมีประสาทความรู้สึกคือวิญญาณ..ใช่ไหมครับ ? เมื่อสักครู่กล่าวแล้วว่าจักขุวิญญาณ ตาเห็นรูป โสตวิญญาณ หูได้ยินเสียง ฯลฯ
วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง ในเมื่อมีวิญญาณก็ต้องมีที่ให้อาศัย ก็เลยต้องมีนามรูป คือร่างกายนี้ให้วิญญาณอาศัยครับ
นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง ในเมื่อมีนามรูป อายตนะก็ย่อมเกิดขึ้นครับ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส ในเมื่อมีอายตนะ ๖ ก็ย่อมมีสัมผัส อย่างเช่นว่าจักขุสัมผัสสชา การสัมผัสด้วยตา โสตสัมผัสสชา การสัมผัสด้วยหู
ผัสสะปัจจะยา เวทะนา เมื่อมีการสัมผัส ก็ย่อมเกิดความรู้สึก อย่างที่เมื่อครู่บอกไปแล้วครับ จะเกิดความรู้สึก ๒ อย่างคือชอบหรือไม่ชอบ ชอบเป็นราคะ ไม่ชอบเป็นโทสะ เจ๊งทั้งคู่นะครับ..!
เวทะนาปัจจะยา ตัณหา เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็เกิดความอยากครับ เลี่ยงในสิ่งที่ไม่ชอบ ต้องการในสิ่งที่ชอบ อยากทั้งคู่นะครับ แต่มีอันหนึ่งเขาเรียกว่าไม่อยาก ไม่อยากแต่จริง ๆ คืออยากครับ ไม่อยากแก่ คือ อยากไม่แก่ครับ ไม่อยากป่วย คือ อยากไม่ป่วย ในเมื่อตัณหาเกิดขึ้น คราวนี้ก็บรรลัยสิครับ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2021 เมื่อ 02:30
|