เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น ถ้าหากว่าสมาธิของเราไม่ดี ความจำจะไม่แม่น สมัยก่อนอ่านตำรา เขาบอกว่า "บางคนมีความจำเหมือนกับภาพถ่าย" คือ สามารถที่จะล้วงควักเอารายละเอียดอะไร ก็แค่ดูภาพถ่ายใหม่อีกครั้งเท่านั้น กระผม/อาตมภาพไม่เข้าใจว่าความจำของตนเองเป็นในลักษณะนั้นหรือเปล่า ? แต่ว่าวิชาที่เรียนไป ไม่ลืมจริง ๆ อย่างที่หลายท่านเห็นก็คือ สามารถท่องไวยากรณ์บาลีแข่งกับพวกท่านที่เพิ่งเรียนใหม่ ๆ ได้
เรื่องของสมาธิ เมื่อพัฒนาไป นอกจากที่จะช่วยในการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมแล้ว ยังสามารถที่จะค้ำจุนสภาพร่างกายนี้เอาไว้ได้ ก็คือต่อให้ร่างกายไปต่อไม่ไหว ก็ยังสามารถที่จะลากสังขารไปจนกว่างานจะเสร็จ หรือกว่าที่จะไปถึงเป้าหมายของตัวเอง
ดังนั้น..เรื่องของสมาธิจึงเกื้อกูลการศึกษาได้ดีที่สุด ที่กระผม/อาตมภาพย้ำกับหลายท่านที่เป็นวิทยากรอบรมค่ายพุทธบุตรว่า ในเมื่อเด็กเข้าวัดมา ก็อย่าให้เสียเปล่า อย่างน้อยต้องรู้วิธีการฝึกสมาธิกลับไป เพราะว่าถ้าเขารู้จักนำไปต่อยอด ก็จะช่วยการศึกษาของเขาได้ดีมาก
ส่วนของพวกเรา ต้องมาอยู่ในระดับของการปรับไปใช้ในเรื่องของวิปัสสนาภาวนา ก็คือใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา จนกว่าจะเห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ เห็นความเป็นจริงของโลกนี้ ซึ่งก็คือไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรเป็นความสุขอย่างแท้จริง ท้ายที่สุด ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ แล้วเราก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนใจของตนเองออกมาจากการยึดเกาะ ซึ่งจะได้มากน้อยเท่าไร ก็ขึ้นกับวาสนาบารมีที่สร้างสมมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้
สำหรับวันนี้ ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-10-2022 เมื่อ 02:42
|