ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 06-04-2021, 07:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,608 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก็แปลว่าในส่วนของอาหารนั้นมีส่วนน้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพจิตที่นึกคิดปรุงแต่งมากกว่า ถ้าหากว่าเราสามารถหยุดความคิดได้ ไม่ว่าจะเป็น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็สงบ หมดสภาพไปเอง เพราะว่าขาดการปรุงแต่ง อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับเราลวกก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ก็ไม่มีใครอยากกิน แต่คราวนี้การที่เราไปปรุง ใส่หมูสับ ใส่กุ้งแห้ง ใส่ลูกชิ้น ใส่ตั้งฉาย ใส่ต้นหอม ใส่ผักชี ใส่น้ำส้ม ใส่น้ำปลา ใส่แม้กระทั่งถั่วลิสงคั่ว ยิ่งปรุงมากก็ยิ่งอร่อยมาก จึงทำให้อยากกินมากขึ้น

ลักษณะสภาพใจของเราก็แบบเดียวกัน ก็แปลว่าท่านผู้ถามนั้นไม่สามารถจะหยุดความคิดทั้งหมดให้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกได้ ถ้าเราดึงเอาความคิดทั้งหมดมาอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าให้ความรู้สึกแนบชิดกับลมหายใจ...ไหลตามเข้าไปจนสุด...หายใจออกให้เอาความรู้สึกทั้งหมดแนบชิดติดกับลมหายใจ ไหลออกมาจนสุด

ถ้ากำลังใจของเราอยู่แค่นี้ รัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็กินเราไม่ได้ เพียงแต่ว่าบางท่านพยายามแล้วพยายามอีก กำลังของกิเลสก็ยังเหนือกว่า ถ้าลักษณะอย่างนั้นต้องหางานอื่นทำ เพื่อที่จะให้เผลอลืมไปเลย

อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้วิธีวิ่งอยู่ในป่าช้า วิ่งจนกระทั่งโดนกำนันเถา กำนันตำบลบางนมโค ไปฟ้องหลวงปู่ปานว่า "พระของท่านไม่สำรวม วิ่งกันโครม ๆ ไม่ได้อยู่ในสมณวิสัยที่สมควร" หลวงปู่ปานท่านก็ถามกลับไปว่า "กำนันไปเห็นพระของฉันไปวิ่งกันที่ไหน ?" กำนันเถาก็ตอบว่าวิ่งกันอยู่ในป่าช้า หลวงปู่ปานก็เลยถามไปอีกประโยคว่า "เขาอุตส่าห์หลบไปวิ่งในป่าช้า แล้วกำนันเสือกตามไปดูทำไม !!?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2021 เมื่อ 10:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา