แม้แต่หลวงปู่บุดดาที่กระผม/อาตมภาพมีโอกาสพบมากที่สุด เพราะว่าวัดท่านอยู่ไม่ห่างจากวัดท่าซุง ถ้าไปเพื่อหลักธรรมจริง ๆ คิดอะไรอยู่ ท่านจะพูดออกมาหมด ก็คือหลวงปู่ท่านบอกว่า "การเป็นพระอรหันต์ไม่ต้องรักษาศีลมากหรอก ศีลแค่ ๑๐ ข้อก็พอแล้ว"
ผมเองนึกในใจว่า "ศีลพระตั้ง ๒๒๗ ข้อ" ท่านพูดสวนความคิดขึ้นมาทันทีว่า "ไอ้นั่นเป็นศีลเอาใจชาวโลก ดูอย่างสามเณรศีล ๑๐ ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ ?" ก็จริงของท่าน ก็เลยนึกต่อไปว่า "แล้วถ้าหากว่าผมปฏิบัติอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวผมเองมาถูกทางแล้ว ?" ท่านบอกทันทีว่า "ดูที่ศีล ฆราวาสศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาศีล ๘ สามเณรศีล ๑๐"
ไม่ต้องถามครับ แค่คิดอยู่ในใจ คิดไม่จบด้วย เอาแค่ "ถ้าผม..." ก็ได้คำตอบแล้ว แล้วคิดว่าพระระดับนี้ พวกท่านจะมีโอกาสได้เจอกันบ้างไหม ? เพราะว่าถ้าเป็นฆราวาสทั่วไป ท่านก็จะพยายามที่จะไม่แสดงออก เนื่องจากว่าแสดงไปตัวเองก็เดือดร้อน
ประการแรก พระพุทธเจ้าห้ามแสดงอุตตริมนุสสธรรมต่ออนุปสัมบัน คือบุคคลที่ศีลไม่เท่ากัน แปลว่าแม้แต่สามเณรยังไม่มีโอกาสได้เห็น
ประการที่สอง คนเรามักจะบ้าเรื่องความสามารถพิเศษ จนกระทั่งโดนเขาแหกตา อย่างเสกต่อเสกแตนออกจากปาก แล้วก็พวกประเภทโอนไว ทำบุญเร็ว ก็เสียผลประโยชน์ของตนเองไปมาก
ประการสุดท้าย การที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล ต้องเกิดจากการเลื่อมใสศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง เลื่อมใส เพราะเห็นคุณความดีของพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ใช่เลื่อมใสเพราะฤทธิ์เพราะอภิญญา เพราะถ้าเลื่อมใสในลักษณะอย่างนั้นเป็นการยึดติด ยึดติดทั้งวัตถุและตัวบุคคล
แต่การเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยนั้น ก้าวล่วงวัตถุไปแล้ว ก็คืออาศัยวัตถุเป็นเครื่องยึดเกาะ เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงว่า คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอย่างไร เมื่อถึงตอนนั้นแล้วกำลังใจก็จะไม่ยึดเกาะในวัตถุ แต่ยึดเกาะในนามธรรม คือความเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงแทน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-10-2021 เมื่อ 23:59
|