ดูแบบคำตอบเดียว
  #9  
เก่า 16-03-2022, 00:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,101 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าตรงนี้ไม่ชัดเจน เราต้องดูที่พระสารีบุตรกล่าวถึงในสังคีติสูตร พระสุตันตปิฎก กล่าวถึงปัญญา ๓ ว่าประกอบไปด้วย

สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง เมื่อฟังมาแล้ว ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีจิตที่สงบ สามารถทำความเข้าใจถึงได้ทันที

ถ้าหากว่ายัง ก็ต้องเพิ่มขั้นตอนที่สอง คือ จินตมยปัญญา ที่พวกเรามักจะอ่านว่า จินตามยปัญญา ก็คือปัญญาที่เกิดจากการขบคิด จนกระทั่งเข้าใจว่าสิ่งนั้นหมายถึงอะไร

แต่ว่าที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการจริง ๆ คือปัญญาขั้นสุดท้ายที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ก่อให้เกิดความเจริญในจิตใจ โดยไม่มีวันตกต่ำอีก เป็นปัญญาของพระอริยเจ้าโดยเฉพาะ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเข้าไม่ถึงความเป็นพระโสดาบัน ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญาที่แท้จริง

ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่า เริ่มจากความคิด ก็คือสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ก็ออกมาเป็นคำพูดและการกระทำ คือสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ แล้วก็เริ่มก้าวสูงขึ้นไปในส่วนของสมาธิจิต ก็คือไปเน้นในเรื่องของใจ คือสัมมาวายามะ เพียรได้ถูกต้อง

เราอาจจะสงสัยว่า คนเราขยันทำมาหากินเป็นความเพียรที่ถูกต้องหรือไม่ ? นั่นเป็นความเพียรที่ถูกต้องในทางโลก แต่ถ้าความเพียรที่ถูกต้องในทางธรรม ก็คือเพียรพยายามขับไล่ความชั่วออกจากใจของตน เพียรพยายามป้องกันไม่ให้ความชั่วนั้นเข้ามาในใจของเราได้อีก เพียรพยายามสร้างความดีให้เกิดขึ้นในจิตใจของตน แล้วเพียรพยายามกระทำให้ความดีนั้นเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถึงได้เรียกว่า สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2022 เมื่อ 01:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา