ดังนั้น..ในส่วนที่ท่านทั้งหลายยังอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมให้ครบเวลาตามหลักสูตร ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี น่าโมทนา เพราะว่าพวกท่านไม่ได้ไหลตามกระแสกิเลสไป มีระยะเวลาหยุดหลายวัน แทนที่จะไปท่องเที่ยวแบบคนอื่น ๆ ที่เก็บกดมานาน กลับมาฝึกฝนขัดเกลา กาย วาจา ใจของตนเอง เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกว่าจะเข้าถึงเป้าหมายสุดท้าย คือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทน อดกลั้น เพียรพยายามเป็นอย่างสูง ถึงจะสามารถหักห้ามใจตนเองได้
แต่เมื่อกำลังของเราสูงพอแล้ว เราจะเห็นว่าการที่เรารักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ไม่ใช่เรื่องหนักใจเลย สามารถทำได้แบบเป็นธรรมชาติมาก ในเรื่องของการทรงสมาธิ เราก็สามารถที่จะทรงได้ทุกเวลาที่ต้องการ ถ้ามาถึงระดับนี้แล้ว ก็เหลือเพียงการใช้ปัญญาพิจารณาเท่านั้น ว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทุกชนิดก็ตาม มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารให้ยึดถือมั่นหมายได้
ยิ่งเห็นชัดมากเท่าไร สภาพจิตของเราก็ยิ่งถอนออกจากการยึดมั่นถือมั่นมากเท่านั้น ท้ายที่สุดถ้าสามารถถอนออกมาได้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน
วันนี้ที่บอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลายให้ชัดเจน ก็เพราะว่าบางคนที่ได้ทิพจักขุญาณแล้ว มีสิทธิ์ที่จะหลงทาง ต้องรู้จักระมัดระวัง รู้อะไรไม่ใช่พูดได้ทั้งหมด บุคคลที่รู้จริงต้องรู้ว่าสิ่งที่เรารู้นั้น พูดได้เท่าไร บางเรื่องรู้มา ๑๐๐ พูดได้แค่ ๒ แค่ ๓ จะอกแตกตาย..! แต่ก็ต้องกัดฟันทนไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะไปละเมิดกฎของกรรมโดยไม่รู้ตัว
จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-11-2021 เมื่อ 23:57
|