การตกลงไปในฐานะของปูชนียบุคคล ก็คือบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านนั้น ถ้าหากว่ายังเป็นอาบัติที่แก้คืนได้ก็ต้องรีบแก้คืน รีบสารภาพบาป แล้วขณะเดียวกัน ก็ต้องตั้งใจทำตามคำสารภาพของตน ที่เป็นภาษาบาลีว่า
นะ ปุเนวัง กะริสสามิ กระผมจะไม่ทำเช่นนี้อีก
นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ กระผมจะไม่พูดเช่นนี้อีก
นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ กระผมจะไม่คิดเช่นนี้อีก
ก็คือเราไม่เพียงแต่ไม่ทำ ไม่พูดเท่านั้น แม้แต่คิด เรายังจะต้องไม่คิดด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก นอกจากว่าท่านทั้งหลายมีสติที่สมบูรณ์ ทรงฌานทรงสมาบัติเป็นปกติ ขยับตัวเมื่อไร เราก็รู้ว่าศีลจะขาดจะพร่องหรือไม่ ถ้าอย่างนี้เราถึงจะสามารถควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบของศีลอย่างแท้จริงได้
ในเมื่อท่านทั้งหลายตั้งใจระมัดระวังรักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เมื่อถึงเวลาที่ท่านทุ่มเทสติ สมาธิ ไประมัดระวังรักษาศีล ก็จะทำให้สมาธิของท่านทรงตัวตั้งมั่นได้ง่าย เมื่อสมาธิของท่านทรงตัวตั้งมั่น ปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้น ถึงมีปัญหาทางโลกก็แก้ไขให้ลุล่วงไปได้โดยง่าย ถ้ามีปัญหาทางธรรม ก็สามารถที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ สามารถก้าวล่วงเข้าสู่คุณความดีระดับสูง ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
โดยที่ท่านทั้งหลายตั้งกำลังใจเอาไว้ว่า เราจะเป็นผู้ที่รักษาศีลทุกสิกขาบทให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เราจะไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล เราจะไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล
หลังจากนั้น ท่านต้องทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะไม่พูดแม้กระทั่งว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้เลี้ยงเรามา หากแต่เป็นพ่อแม่เลี้ยงเรามา" เป็นต้น
ประการสุดท้าย ท่านทั้งหลายจะต้องมีปัญญา รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย กำหนดใจไปให้มั่นคงเลยว่า บุญกุศลทั้งหมดที่เราสร้างสมมานั้น เราปรารถนาที่เดียวก็คือพระนิพพาน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2022 เมื่อ 03:25
|