ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 05-02-2020, 21:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,667 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้กรรมจะเกิดได้ต้องประกอบไปด้วยกิเลส ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง นี่เอง เมื่อมีความ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นตัวชักจูง เราก็ก่อกรรมทั้งดีและชั่วตามแต่การชักจูงของกิเลสในช่วงนั้น ๆ คราวนี้เมื่อเราทำแล้วผลของการกระทำนั้นไม่ได้ไปไหน หากแต่คอยตอบแทนเราอยู่ เหมือนรอยเกวียนที่เคลื่อนตามรอยเท้าโคไปด้วย

ในส่วนของผลตอบแทนของการกระทำนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า วิปากะ ภาษาไทยเรียกว่า วิบาก คือการส่งผลของกรรม เมื่อกรรมส่งผล กิเลสก็ชักนำให้เรากระทำอีก เมื่อเกิดการกระทำ ผลกรรมก็ส่งผลให้เราอีก อยู่ในลักษณะของ กิเลส..กรรม...วิบาก กิเลส...กรรม...วิบาก ฯลฯ หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ จนกว่าจะสามารถถอนตัวของเราเองออกนอกสังสารวัฏ คือการเวียนว่ายตายเกิด ถึงจะพ้นจากกงกำกงเกวียนนี้ได้

คราวนี้การที่เราจะไปให้พ้นจากกิเลส กรรม และวิบาก ก็คือต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้ เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาในโลกนี้ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า เกิดมาก็พบแต่ภัยอันตรายอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป ไม่มีเวลาไหนที่ภัยเหล่านี้ไม่คุกคามเราเลย อย่างไม่มี ๆ ร่างกายก็ทรุดโทรมไปทุกวินาที ภัยของความแก่ ภัยของสภาวะร่างกาย ก็คอยที่จะเบียดเบียนทำให้เราก้าวเข้าไปสู่ความเสื่อมตลอดเวลา ถ้าเราสามารถมีปัญญามองเห็นชัด สามารถถอนความยินดีความพอใจในร่างกายนี้ได้แล้ว เราก็จะสามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2020 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา