ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 02-04-2012, 07:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,959 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนเรื่องการปฏิบัติของพระเรา ในเรื่องของนิวรณ์ ๕* โดยเฉพาะความง่วงเหงาหาวนอนนั้น ถ้าหากว่าเป็นตอนช่วงหัวค่ำ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเกิดจากความเหนื่อยความเพลียของร่างกายเรา

ถ้าร่างกายเหนื่อยมาก ๆ เพลียมาก ๆ จะดึงสมาธิของเราให้ไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่านั้นได้ ก็จะมีอาการประเภทโงกบ้าง ง่วงบ้าง เป็นปกติ แต่ถ้าหากว่าพักผ่อนมาทั้งคืนแล้ว ตอนเช้ามืดยังโงก นั่นแสดงว่าเป็นนิวรณ์แล้ว คือเป็นตัวถีนมิทธะนิวรณ์ ก็แปลว่า จริง ๆ แล้วจิตของเรากำลังจะดี คือ จะเริ่มก้าวขึ้นสู่ความเป็นฌาน แต่เกาะไม่ติดเพราะสติขาด

ในเมื่อสติขาด อาการโงกง่วงก็จะเกิดขึ้น ให้เอาใจจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าให้มากขึ้น จี้ตามลมหายใจเข้าออกให้มากขึ้น ถ้าก้าวผ่านตรงนั้นไปได้ ก็จะกลายเป็นสว่าง แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย ลักษณะอาการแบบนี้พอเกิดขึ้น บางท่านก็คิดว่าทำไมเราไม่หลับ ทั้งคืนก็ไม่หลับ ความจริงร่างกายนอนอยู่ ได้พักผ่อนแล้ว แต่จิตนั้นตื่น ในเมื่อจิตตื่น เราก็ไปคิดว่าเราไม่ได้หลับ ไม่ใช่...บางทีก็หลับชนิดได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วยซ้ำไป

จิตของเรามีสภาพตื่นอยู่เป็นปกติ แต่ว่าโดนทับถมด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมต่าง ๆ ก็เลยมืดบอด ถ้าหากว่าสติสมบูรณ์พร้อม จะตื่นตลอด หลับอยู่ก็รู้ว่าหลับ อะไรไปอะไรมาก็รู้หมด เพียงแต่ว่าจะคลายจิตออกมาสนใจเรื่องเหล่านั้นหรือไม่เท่านั้นเอง

อีกเรื่องก็คือพวกอาการปีติ ** ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าหากว่าเป็นขณิกาปีติ มีอาการขนลุกเป็นพัก ๆ ก็ไม่เท่าไร ถ้าหากว่าเป็นขุททกาปีติ น้ำตาไหล หรือ โอกกันติกาปีติ ตัวโยกไปโยกมาหรือดิ้นตึงตัง บางทีเราจะตกใจ หรือกลัว หรืออายเขา แล้วก็พยายามไปหยุดเอาไว้ ถ้าลักษณะอย่างนั้น เราจะไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ แล้วก็ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่สมาธิที่สูงกว่านั้นได้ ทำถึงตรงนั้นเมื่อไรก็จะเป็นอีก

ให้ทำไม่รู้ไม่ชี้ กำหนดใจไปเลยว่า เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นจะตายก็ช่าง ถ้าเราตายลงไปตอนนี้เราก็ยอม เพราะเราทำความดีอยู่ อย่างน้อยเราไม่ขาดทุนแน่ ตั้งใจอย่างนั้นแล้วก็ภาวนาของเราไป ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไป ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่า แม้ว่าบางทีร่างกายดิ้นตึงตังโครมครามก็จริง แต่ว่าจิตของเราจะนิ่งมาก ก็เลยไม่มีอะไรที่จะต้องไปกลัว แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องไปอับอายขายหน้า อยากจะดิ้นก็ปล่อยให้ดิ้น อยากจะเป็นก็ปล่อยให้เป็น

ถ้าหากว่าอายเขาก็ปิดประตูเข้ากุฏิ ทำอยู่คนเดียว ปล่อยให้ดิ้นจนเลิกดิ้นไปเอง ผมเองสมัยที่เป็นวัยรุ่นอยู่ ดิ้นอยู่เกือบสามเดือน บางทีพี่น้องเขาแปลกใจว่าทำอะไรตึงตังโครมคราม ก็เปิดประตูเข้ามาดู พอเห็นผมทำสมาธิอยู่ก็เลิกสนใจ ปล่อยให้ผมบ้าไปคนเดียว


หมายเหตุ :
*องฺ. ปญฺจก.๒๒/๕๑/๗๒ อภิวิ. ๓๕/๙๘๓/๕๑๐
**วิสุทฺธิ. ๑/๑๘๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2012 เมื่อ 09:54
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา