ถ้าหากว่าเราดูตัวอย่างบุคคลบางคน ก็จะเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้น บางทีเราก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แล้วทำไมเขายิ่งทำ ก็รู้สึกเหมือนกับยิ่งมีอำนาจ ยิ่งร่ำรวย ก็เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงที่บุญเก่าเขาส่งผลอยู่ ถ้าไม่รู้จักสร้างเพิ่มเติม บุญขาดช่วงลงเมื่อไร กรรมทั้งหลายถล่มเข้ามาพร้อม ๆ กัน ก็จะเละเป็นโจ๊ก..! ขออภัย...ตรงนี้ไม่ได้พาดพิงใคร..!
ดังนั้น..สิ่งที่เราท่านทำอยู่ ต้องถามตัวเองด้วยว่า ถ้าสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา เพียงพอที่จะรักษาตัวเองหรือไม่ ? เพียงพอที่จะรักษาคนรอบข้างหรือไม่ ? เพราะว่ากำลังใจของคนเรา ถ้าแบ่งหยาบ ๆ แบ่งได้เป็นสามระดับด้วยกัน ระดับแรก..รักษาตัวเองยังไม่รอด ระดับที่สอง..รักษาตัวเองรอด แต่ช่วยคนอื่นไม่ได้ ระดับที่สาม..รักษาตัวเองรอดได้ ช่วยคนอื่นรอบข้างให้รอดได้ อย่างน้อยเราต้องทำถึงระดับที่สอง ก็คือรักษาตัวเองให้รอดได้ จะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น
ยิ่งกำลังสมาธิของเราเข้มแข็งเท่าไร เมื่อเสริมกับวัตถุมงคล ตลอดจนกระทั่งกุศลบารมีที่เราสร้างมา เรื่องหนักก็เป็นเบา เรื่องเบาก็เป็นหาย แต่ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่เข้มแข็งพอ ก็อาจจะมีทรัพย์สินเสียหาย มีบาดเจ็บล้มตาย แล้วแต่สภาพจิตใจของเราว่าทำได้เท่าไร
ก็แปลว่าเรื่องทั้งหลายที่กระผม/อาตมภาพปรารภมาก็คือ "ใครทำใครได้" จะไปหวังพึ่งครูบาอาจารย์อย่างเดียว ก็จะอยู่ในลักษณะภาษิตจีนที่ว่า "ฉุกเฉินขึ้นมา แล้วค่อยกอดพระบาทพระพุทธรูป" ก็คือก่อนหน้านั้นไม่เคยนึกถึงเลย ถ้าประเภทนั้นก็ประมาณดาบอยู่ในฝักจนสนิมขึ้นแล้ว พอจะใช้งานก็ชักไม่ออก..!
เรื่องของการภาวนาจึงต้องทำอยู่ทุกวัน ได้ทุกเวลายิ่งดี โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์สามเณรของเรา เพราะว่าส่วนหนึ่ง ชาวบ้านเขาต้องพึ่งพาอาศัย เราอาศัยชาวบ้านมามากแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่บวช ชาวบ้านเขาก็เลี้ยงเรามาตลอด เมื่อถึงเวลาชาวบ้านเดือดร้อน เรามีอะไรที่พอจะช่วยได้ ก็ต้องช่วย
อย่าไปวางเฉยในลักษณะคนขาดปัญญา ประมาณว่ากรรมใครกรรมมัน เนื่องเพราะว่าคนเราที่เกิดมาแล้ว มีโอกาสอยู่ร่วมกัน มีโอกาสพบเห็นกัน ต้องมีบุญมีกรรมสัมพันธ์กันมาอยู่แล้ว คนโน้นช่วยเหลือนิด คนนี้ช่วยเหลือหน่อย เราก็จะผ่านภาวะหนักหนาเหล่านี้ไปได้
กระผม/อาตมภาพเกรงอยู่อย่างเดียวว่า รัฐบาลของเรามัวแต่หาทางที่จะรักษาอำนาจตัวเอง จนกระทั่งลืมไปว่าสถานการณ์แบบนี้จะต้องบริหารจัดการอย่างไร ถ้าเป็นไปถึงระดับนั้น ก็ต้องบอกว่าเป็นความโชคร้ายของทุกคนจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอาศัยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าคือ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ด้วยประการฉะนี้..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2024 เมื่อ 01:41
|