ลักษณะอย่างนั้นก็เช่นเดียวกัน ก็คือหางานให้จิตทำ เพื่อที่จะได้เบี่ยงเบนออกจาก รัก โลภ โกรธ หลง ที่จิตกำลังปรุงแต่งครุ่นคิดอยู่ โดยเฉพาะหลวงพ่อกับเพื่อนทั้ง ๓ องค์นั้น ท่านใช้วิธีวิ่งพร้อมกับภาวนา โดยมีการขีดเส้นเอาไว้ กำหนดว่าถ้าวิ่งถึงตรงนี้จะต้องทรงฌานนี้ได้ วิ่งถึงตรงนั้นต้องทรงฌานนั้นได้ นอกจากจะเป็นการซักซ้อมความคล่องตัวในการเข้าออกฌานสมาบัติแล้ว ยังเป็นการเบี่ยงเบนความคิดไม่ให้ปรุงแต่งไปในด้านของ รัก โลก โกรธ หลง ให้จิตมีงานทำอยู่เฉพาะหน้าอีกด้วย
เมื่อวิ่งจนเหนื่อยแล้ว สภาพจิตพอเหนื่อย ความกลัวตายจะเกิดขึ้นโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว ความกลัวตายในที่นี้ก็ทำให้สภาพจิตจะรีบกลับเข้ามานิ่งอยู่ในร่าง เพราะกลัวว่าตายแล้วจะหลุดพ้นจากร่างกายนี้ไป เมื่อสภาพจิตยอมกลับมานิ่งอยู่ในร่างเมื่อไร ก็ฉวยโอกาสนี้เร่งการภาวนา จับลมหายใจเข้าออกให้มั่นคง จนกระทั่งสามารถทรงอารมณ์ให้แนบแน่นเป็นอัปปนาสมาธิได้ รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายก็จะโดนกดดับชั่วคราวไปเอง
ดังที่ได้กล่าวมา ญาติโยมทั้งหลายคงพอที่จะรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไร ถ้าอารมณ์ใจไปปรุงแต่งอยู่กับ รัก โลภ โกรธ หลง
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2021 เมื่อ 10:26
|