ดังนั้น...ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าเราทราบแล้ว และรู้ว่ามีวิธีเดียวที่จะชนะกิเลสได้ ก็คือการปฏิบัติทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ในแต่ละวันแค่เรานั่งเฉย ๆ ไม่กี่นาที ก็รู้สึกว่าลำบากทุกข์ยากเหลือเกิน แล้วถ้านึกถึงว่าเวลาท่านหิว กระหาย ร้อน หนาว เจ็บไข้ได้ป่วย โดนกระทบกระทั่ง จิตใจหงุดหงิด กลัดกลุ้ม โกรธ กลัว เกลียด เราจะมีความทุกข์ขนาดไหน ? ถ้าหากว่าท่านยังโดนกิเลสจูงไป ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะยาวไกลไม่รู้จบ
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสว่า วัฏสงสารนี้ยาวไกลชนิดไม่เห็นต้นเห็นปลาย เราก็จะกลายเป็นวัวเป็นควายให้กิเลสจูงไปอยู่ตลอดเวลา ชาติแล้วชาติเล่า ไม่สามารถจะพ้นสภาพไปได้เสียที
สิ่งที่จะนำพาพวกเราพ้นไปได้ก็คือ เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญาเท่านั้น ศีลเราก็รักษาตามสภาพของเราครับ ฆราวาสทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ บ้าง กรรมบถ ๑๐ บ้าง สามเณรก็ศีล ๑๐ ถ้าหากว่าเป็นพระเราก็ศีล ๒๒๗
ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ การที่เราตั้งสติระมัดระวังนั่นแหละครับ จะสร้างสมาธิให้เกิดกับเราโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลาถ้าเรามานั่งภาวนาแบบจริง ๆ จัง ๆ เป็นหลักเป็นฐาน ก็จะภาวนาได้ง่าย เพราะว่าศีลนั้นเป็นตัวก่อให้เกิดสมาธิ
ถ้าท่านทั้งหลายได้ฟังพระอุปัชฌาย์หรือว่าอาจารย์คู่สวดบอกอนุศาสน์ จะมีการสรุปว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส การที่เรารักษาศีลแบบรอบคอบ รอบด้าน อานิสงส์ใหญ่ก็คือทำให้สมาธิเกิดขึ้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2022 เมื่อ 02:47
|