ดูแบบคำตอบเดียว
  #457  
เก่า 14-06-2020, 20:48
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่คำดีนิมิตรู้ องค์หลวงตาจะมาพบ

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ องค์หลวงตาหาอุบายหลบหลีกหมู่เพื่อนไปเยี่ยมหลวงปู่คำดี ที่วัดศรีฐาน จังหวัดขอนแก่น องค์ท่านจึงปิดเงียบ ไม่บอกกล่าวให้ผู้ใดทราบเลย แต่ถึงอย่างนั้น หลวงปู่คำดีก็สามารถรับรู้ได้ล่วงหน้า ดังนี้
“... นิมิตท่านสำคัญมาก ปรากฏในภาวนาไม่ผิดพลาดนะ ที่อยู่วัดศรีฐาน.. แต่ก่อนเป็นวัดป่าจริง ๆ เขาเรียกสามเหลี่ยมไปขอนแก่นนั่นน่ะ ที่แยกไปทางชุมแพ แยกไปทางโคราช แยกไปทางไหน สามเหลี่ยมใหญ่นั่นนะ แต่ก่อนเป็นดงทั้งหมด วัดป่าศรีฐานอยู่ตรงนั้นแหละ


เราไป.. เรายังจำได้ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ขโมยหนีจากหมู่เพื่อนไป หาอุบายมาเยี่ยมโยมแม่ เพราะรำคาญพระเณรรุม หาอุบายมาเยี่ยมโยมแม่ ก็มาพักอยู่กับโยมแม่เพียงสองคืนเท่านั้นเอง เราเปิดไปขอนแก่นคนเดียว ทีนี้ท่านได้นิมิต .. ตอนนั้นมันบันดลบันดาลยังไงก็ไม่รู้ แทบจะทุกครั้งเรื่องมันรับกันได้พอดี ๆ อันนี้ท่านนิมิตในภาวนาของท่าน ท่านบอกท่านฝัน ถ้าพูดนอก ๆ ท่านก็บอกว่าฝัน.. จริง ๆ ก็คือฝันภาวนานั่นเอง เป็นไรไปท่านฝันในของท่าน นักภาวนารู้กัน วันนั้นภาวนาอยู่มันเกิดเรื่องราวขึ้นมา พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็รีบสั่งพระเลย
‘เอ้อ.. เมื่อคืนนี้ผมได้นิมิตแปลกประหลาดมาก จะมีพระองค์สำคัญ แต่ว่าองค์ไหนท่านก็ไม่ได้บอก จะมีพระองค์สำคัญมาวัดเราในเร็ว ๆ นี้ ถ้ามีพระกรรมฐานมาจากที่ไหนก็ตาม อย่างไรขอให้ได้พบกับเราเสียก่อน

ท่านจัดพระมาเลยนะ จัดพระมาเฝ้าศาลา ศาลาวัดป่าศรีฐานเป็นป่าจริง ๆ ไม่ให้ไปไหน คือท่านสั่งไว้ว่า ถ้าพระกรรมฐานมาไม่ว่าองค์ใดก็ตาม แก่หรือหนุ่มก็ตามถ้าเป็นพระกรรมฐาน นอกนั้นท่านไม่พูด แล้วมานี้อย่างไรก็ขอให้พบผมเสียก่อน.. ก่อนที่ท่านจะผ่านไปให้ได้พบผมเสียก่อน ผมจะได้พบพระองค์สำคัญเร็ว ๆ นี้ นี้นะ ท่านว่างั้น ท่านจึงจัดพระให้มาอยู่มาเฝ้าศาลา

ครั้นเวลาพระมาเฝ้าศาลา พอดีเราไปที่นั่นองค์เดียว ขโมยหนีนี่ ตีตั๋วก็ไม่ให้ใครทราบ มาเยี่ยมมารดา ๒ คืน นี่ละต้นเหตุที่จากหมู่เพื่อนได้ ถ้าว่าไปเที่ยววิเวก โอ๋ย.. ไม่ได้นะ แหลกเลย รุม..เข้าใจไหม นี่จะไปเยี่ยมมารดาจะไปได้ยังไง จะไปหาที่สงัดยังไง ฟังแต่ว่าไปเยี่ยมแม่เป็นไรล่ะ มันก็หาทางออกได้

เราก็มาพักอยู่กับแม่ ๒ คืน ต่อจากนั้นก็ออก ออกไปไม่ให้ใครทราบ ให้น้องไปตีตั๋วสถานีรถไฟคำกลิ้งนี่ละ ไปลงขอนแก่นแล้วจะไปเข้าในภูเขา ความคิดว่าอย่างนั้น อำเภอภูเวียง พอตีตั๋วแล้วก็ขึ้นรถไฟไปคนเดียว มันก็บันดลบันดาลไปเจอเอาโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นก็คุ้นกับเรา คุ้นมหา.. คุ้นว่างั้นเถอะ แล้วคุ้นกับท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อุปัชฌาย์เราด้วย

พอไปเจอเราบนรถไฟ ‘เอ้ย ท่านอาจารย์มายังไง..ขึ้นเลย’

‘เป็นบ้าหรือไง’ เราว่างั้น หมดละทีนี้ ความขลังของกู หมดละทีนี้ เป็นบ้าเรอะเราว่างั้น.. มันโมโห มันหมดแล้วความขลังของเรา เขาลบลายหมดแล้ว ไปนี้มันก็จะไปบอกท่านเจ้าคุณว่าเราไปทางไหน ๆ นี่ ท่านจะลงไหน ตีปากเอานะ บอกเท่านั้นพอ ไม่พูดมากนะ ทีแรกถามเราก็ว่าเป็นบ้าเหรอ

‘แล้วท่านอาจารย์จะตีตั๋วลงไหน’

‘นี่ฟาดปากเอานะ’ เลยนิ่งเลย

ทีนี้มันไม่อยู่เฉย ๆ ซิ มันคอยแอบดูเรา เวลาเราจะลงสถานีรถไฟ มันจะไปโคราช เราไปลงขอนแก่น ปั๊บลง..มันเห็นแล้วนะนั่น

พอกลับไปก็ไปหาท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ละซิ แว้ด ๆ โอ๋ย.. อยากฟาดปากมันอีก มันโมโห หมดขลัง ไปอยู่ไม่ได้นาน.. ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ให้คนไปตามบอก ‘จะพาไปกรุงเทพฯ’ อย่างนั้นละ..เรื่องราวนะ

พอลงรถไฟก็ไปวัดท่านอาจารย์คำดี ไปองค์เดียว สะพายบาตรไปองค์เดียว พระก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร พระองค์นั้นท่านเล่าละเอียดลออตามที่ท่านอาจารย์คำดีสั่งนะ
‘ผมมาอยู่ที่นี่ เพราะท่านอาจารย์คำดีสั่งให้ผมมา มาเฝ้าวัดอยู่ที่นี่ คือท่านบอกว่า ท่านได้เหตุว่าจะมีพระองค์สำคัญมาวัดเราเร็ว ๆ นี้ แล้วท่านก็สั่งเอาไว้ว่า ถ้าเป็นพระกรรมฐาน ไม่ว่าหนุ่มว่าแก่ อย่าด่วนให้ท่านไปไหน ให้พบกับท่านเสียก่อน เพราะฉะนั้น ท่านถึงได้สั่งให้ผมมาพักอยู่ที่ศาลา คอยต้อนรับพระ สังเกตพระที่ควรจะได้พบหรือไม่ได้พบ ผมจึงได้มาอยู่นี้’


ก็เลยมาเฝ้าตามท่านสั่ง แกก็เล่าสะเปะสะปะไป แล้วก็ไม่รู้ใครเป็นใคร เราเป็นใคร เราก็มีแต่คอยหลบคอยซ่อนตลอด จะเปิดง่าย ๆ ได้เหรอ ท่านก็พูดสะเปะสะปะไปตามภาษาของแก เป็นพระบวชใหม่ได้สองพรรษา .. เราก็ถาม ตอนนั้นพระไม่รู้เรานะ พระองค์นั้นไม่รู้ เราก็เลยถามว่า ‘ท่านให้มาอยู่ได้กี่คืนแล้ว ได้ ๒ คืนนี้แหละ’ ว่างั้นนะ

จำได้จนกระทั้งชื่อ ชื่อท่านชื่อพระฮวด อย่างนี้ละ ถ้ามีเหตุมันไม่ได้ลืมนะเรา มันจับปั๊บเลย

ที่นี้พอนั่งอยู่นั้น เราดูไปที่ไหน ๆ ท่านก็ว่ามาเฝ้าศาลาเฝ้าอะไร มีสาระอะไรบ้างบนศาลา มีที่ไหนมันก็ไม่มี มีแต่กระบอกไม้ไผ่ตัดเป็นกระโถน แต่ก่อนกระโถนไม่มี ถ้วยดินครอบไว้มุมเสา ๆ แล้วกระโถนนั่นก็คือไม้ไผ่ตัดครึ่ง เอาเป็นกระโถนแทน เราดูก็ไม่เห็นมีอะไร ที่ท่านสั่งไว้นั้นน่าจะเป็นความจริง เราก็คิด ต่อไปท่านก็ถามชื่อ
‘ท่านอาจารย์ชื่อว่ายังไง?’ ... ‘ถามไปทำไม’


‘คือเวลามีพระกรรมฐานมาอย่างนี้แล้ว เวลาไปกราบเรียนท่าน ท่านถามชื่อถามนามก็จะได้กราบเรียนให้ท่านทราบ’

นั่นซิ..เราก็เลยบอกว่า ‘บัว

‘เหอ ๆ อาจารย์มหาบัวเหรอ !!!’

‘อาจารย์อะไรก็จะเป็นไร’ เราว่างี้ ดุเลย ต่อจากนั้นก็รู้ล่ะซิ

‘โอ๊ย.. ท่านอาจารย์พูดถึงท่านอาจารย์อยู่ตลอดเวลา เทศน์สอนพระนี้ เอาท่านอาจารย์มาขนาบพระอยู่เรื่อย’

ที่นี้พอเราไปนั้น พระยังไม่รู้จักเรานี่ พอตกกลางคืนมาก็คุยธรรมะกัน ตอนเช้าตอนมาฉันจังหัน พระยังไม่รู้เรานี่ รู้เฉพาะท่าน เพราะเราไปอยู่กุฏิข้าง ๆ ท่าน ไปคุยกับท่านตอนกลางคืนแล้วกลับมานอนกุฏิ

ตอนเช้าออกบิณฑบาต พอมาแล้วอันนี้ตอนสำคัญนะ คือท่านนั่งองค์หัวหน้า พอดีเราก็เป็นองค์ที่สองนั่งอยู่ข้าง ๆ ท่าน แล้วพระเณรก็นั่งเป็นแถว ทีนี้เวลาพระเณรแจกอาหารไปใกล้ ๆ ท่าน พอจัดอาหารถวายท่าน ท่านกระซิบ
‘นั่นรู้ไหม..เสือ ?’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ


ท่านพูดเบา ๆ ให้รู้เฉพาะพระองค์นั้น แต่เราหูดีก็ได้ยินอยู่ตลอด องค์ไหนก็ตามพอเข้าไปหาท่านใกล้ชิดท่าน ‘ให้รู้นะ..เสือ..ระวังนะ’ .. พระเณรกิริยาท่าทางก็เป็นธรรมดาของพระเณร ที่ท่านไม่ดุ..ว่างั้นเถอะ มันก็อาจเป็นไปอย่างนั้นละ ทีนี้พอท่านกระซิบต่อไปแล้ว องค์ใดผ่านท่านจะกระซิบทั้งนั้นละ เราได้ยินตลอด ๆ เลย แต่เราก็เฉยเหมือนไม่ได้ยิน ..

พอวันหลังมาพระเณรเรียบหมด แปลกอยู่ หลังจากนั้นแล้วเรียบหมด คงรู้กันหมดทั้งวัด นี่ละองค์ที่ท่านเอามาขนาบพวกเราอยู่ทุกวัน คือองค์นี้เอง...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2020 เมื่อ 12:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา