เรื่องของการทำขนมเป็นรูปพระเครื่อง ก็ไม่ต่างจากการที่ไปวาดรูปพระพุทธเจ้าแล้วมีพระพักตร์เป็นอุลตร้าแมน ก็คือมาในแนวเดียวกัน เพียงแต่ว่าถ้าเรื่องนี้จะพูดให้ชัด ต้องแบ่งกำลังใจคนออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งก็คือบุคคลที่มุ่งทางโลก ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินตามปกติ อีกฝ่ายหนึ่งคือพวกที่มุ่งทางธรรม ปฏิบัติแล้วก็หวังความดีความงามที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน พูดแค่นี้ส่วนใหญ่พวกเราก็จะเข้าใจแล้วว่า ที่เรื่องไปกันใหญ่เพราะว่าทั้งสองฝ่ายหันหลังให้กัน แล้วต่างคนต่างเดินไปคนละทาง
ถ้าในความเป็นปุถุชน แปลชัด ๆ ว่าบุคคลที่หนาด้วยกิเลส คนทั้งหลายเหล่านี้จิตใจหยาบ ไม่รับรู้อะไรที่เป็นบาปบุญคุณโทษในส่วนที่ละเอียด ย่อมเห็นว่าไม่มีโทษสามารถที่จะทำได้ แต่บุคคลอีกประเภทหนึ่ง คือกัลยาณชน ผู้หวังความหลุดพ้น พยายามสำรวจทุกวิถีทางว่ามีอะไรที่จะทำให้ทางเดินของตนเองมีอุปสรรค ก็จะเห็นว่าเป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย ขาดศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ทำสิ่งนี้แล้วจะเป็นโทษ ทำให้ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ตามที่ตนเองหวังได้
แล้วหนทางที่จะไปบรรจบกันก็ต่อเมื่อต่างคนต่างเดิน จนกระทั่งได้คนละครึ่งโลก แล้วก็เริ่มเดินเหยียบรอยของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เรารอขนาดนั้นไม่ได้.... ที่รอไม่ได้เพราะว่าพวกเราในฐานะพุทธบริษัททั้ง ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หน้าที่หลัก ๆ เลยก็คือปกป้องพระพุทธศาสนา จะไปรอให้เขาเถียงกันจนเห็นดำเห็นแดงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าต่างคนต่างเดินไปคนละทาง แล้วก็บอกว่าสิ่งที่ตนเองเดินไปแล้วพบนั้นถูกต้อง ก็กลายเป็นเชื้อโรคร้ายก็คือสนิมที่กัดกินเหล็ก ท้ายที่สุดพระพุทธศาสนาก็กลายเป็นเหล็กที่ผุกร่อน...หมดสภาพ...พัง..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2021 เมื่อ 20:22
|