ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 01-10-2022, 00:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะศึกษาในส่วนของพระอภิธรรม ก็ให้ศึกษาโดยลักษณะของการ โอปนยิโก คือ น้อมนำเข้ามาพิจารณาในกายของเรานี้ ไม่ต้องไปสนใจว่าสิ่งนี้เรียกว่าหลักธรรมอะไร ? สิ่งนี้เรียกว่าหัวข้ออะไร ?

แต่ให้ดูว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด มีความทุกข์เหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะ คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่ประกอบไปด้วยความทุกข์ ก็คือทั้งทุกข์โดยสภาพ ทั้งทุกข์ที่จรเข้ามา ตลอดจนกระทั่งทุกข์เนืองนิตย์ที่ปรากฏอยู่ ไม่ว่าทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องปรากฏแก่เราเฉพาะหน้าในแต่ละเวลา แต่ละนาที


โดยเฉพาะเมื่อไม่มีอะไรให้เรายึดมั่นถือมั่นได้ ถ้าเราไปยึดอยู่ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เราก็จะยิ่งทุกข์หนัก เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าเราไปแบกเอาไว้ ก็เท่ากับว่าเราไปรับเอามาทุกอย่าง คนที่ค่อย ๆ เพิ่มภาระ เพิ่มสิ่งของที่ตนเองแบกขึ้นไปเรื่อย ก็มีแต่จะหนักมากขึ้นไปเรื่อย จนท้ายที่สุดก็อาจจะโดนสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทับตาย..! ก็แปลว่า ถ้าท่านทั้งหลายไม่ปล่อย ไม่วาง ไม่ละ ในเรื่องของ กาย วาจา ใจ ของเรา ซึ่งยึดมั่นถือมั่นต่อร่างกายนี้อยู่ ก็มีแต่จะพาให้ท่านแบกหาบความทุกข์อยู่ตลอดเวลา

แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น เมื่อว่ากล่าวไปแล้ว ก็ทำให้ท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าอันดับแรกก็คือสติ สมาธิ ปัญญาของเรายังไม่ถึงในระดับที่จะทิ้งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้โดยเด็ดขาด

ประการที่สองก็คือ ท่านทั้งหลายที่จ่อมจมอยู่กับความทุกข์นั้น มักจะโดนอวิชชา คือความมืดบอดมาปิดบังปัญญาที่จะเห็นธรรมเสียแล้ว จึงทำให้บุคคลที่เมตตาบอกกล่าวซึ่งหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ว่า ให้ปล่อย ให้วาง แต่ท่านทั้งหลายเมื่อมืดบอดแล้ว ถึงได้ยินได้ฟัง ก็ไม่รู้ว่าจะปล่อยอย่างไร ? จะวางอย่างไร ? เหตุเพราะว่าสภาพจิตยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ยอมแบกจนตายคาที่ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง

ถ้าเป็นเช่นนั้น แม้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังต้องวางเอาไว้ก่อน โดยกล่าวเป็นภาษาบาลีว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่พระตถาคตเจ้าก็ยังเป็นได้แต่เพียงผู้บอกเท่านั้น เมื่อบอกไปแล้ว ท่านทั้งหลายจะนำไปใช้ นำไปปฏิบัติ จนกระทั่งสามารถปล่อยได้ ละได้ วางได้ ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนเท่าไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับการสั่งสม ศีล สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคน ว่ามีของเก่า ตลอดจนกระทั่งของใหม่รวมกันแล้วได้เท่าไร

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-10-2022 เมื่อ 14:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา