บุคคลที่ตั้งใจจะก้าวพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ถึงวาระสุดท้ายแล้วก็คือ เคารพสมมติทางโลกเป็นอย่างยิ่ง รู้ว่าสิ่งนี้ดีเราก็ทำ รู้ว่าสิ่งนี้ชั่วเราก็ละ แต่ไม่เกาะทั้งดีและชั่ว ในเมื่ออะไรก็ไม่เกาะ ก็ต้องหลุด ไม่มีอะไรให้เกาะแล้วนี่
เพราะฉะนั้น...คาถาบทนี้เก็บเอาไว้ใช้งาน รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ในเมื่อไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว แล้วทำไมยังต้องทำดี ละชั่วอยู่ ?
อันดับแรกเลย สิ่งที่ทำดีนั้นจะส่งผลดีต่อเราโดยส่วนเดียวในภายภาคหน้า ถ้าพลาดจากเป้าหมาย เราไปอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า ก็จะได้รับแต่สิ่งที่ดี ๆ ทั้งสิ้น
ประการที่สอง เราทำความดีเอาไว้ โดยเฉพาะในศีล ในสมาธิ ในปัญญา จะเป็นเนติคือแบบอย่างแก่คนรุ่นหลังที่ได้เลียนแบบและทำตาม ไม่ได้เอาตัวรอดคนเดียว ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วย
ส่วนสิ่งทั้งหลายที่เป็นความชั่วนั้น ก็คือมีแต่จะสร้างบาปหาบทุกข์ ก่อให้เกิดความทุกข์ยากนานับประการแก่ชีวิตของเรา ทั้งในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป ดังนั้น...เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องละชั่ว
ในเมื่อดีก็ทำ ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว เราถึงมีโอกาสหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-05-2022 เมื่อ 03:10
|