เพราะฉะนั้น..ใครพูดถึงเรื่องการเสกน้ำมนต์พ่นน้ำหมากไม่ใช่เรื่องในพระพุทธศาสนา ให้ไปดูในรัตนสูตรว่า พระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์ทำน้ำมนต์อย่างไร ในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนเอง แล้วจะไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ? ถ้าท่านศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็จะเจอแม้กระทั่งพระพุทธเจ้าสอนอุตรมาณพร้องเพลง..!
ฉะนั้น...สิ่งที่บรรดานักวิชาการทั้งหลาย พยายามที่จะใฝ่หาธรรมะบริสุทธิ์ ผมอยากจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสัพพัญญุตญาณ รู้ว่าจะพูดอย่างไร จะทำอย่างไร จึงเหมาะสมที่สุดกับบุคคลนั้น หรือสถานการณ์นั้น บรรดานักวิชาการเหมือนกับหิ่งห้อยอับแสงครับ ไม่ใช่หิ่งห้อยที่สว่างด้วย แล้วพยายามที่จะเข้าใจว่าดวงอาทิตย์สว่างแค่ไหน เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เองว่าอจิณไตย คือเรื่องที่ไม่ควรคิดมีอยู่ ๔ เรื่องด้วยกัน
๑) พุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้า อย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปที่สั่งสมบารมีมาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ตายและเกิดจนนับไม่ถ้วน ความสามารถขนาดไหน เสียเวลาไปคิด
๒) ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌานทรงสมาบัติ ทำอะไรพิลึกพิลั่นเกินกว่ามนุษย์มนาทั่วไปจะทำได้ ถ้าเราเองเข้าไม่ถึง ทำไม่ถึง ก็เสียเวลาคิดเหมือนกัน คาดว่าจะตายเปล่าโดยไม่ได้อะไรเลย เพราะไม่สามารถที่จะคิดว่าคาดว่าได้ ว่าความสามารถเหล่านั้นเป็นอย่างไรกันแน่
๓) กรรมวิบาก การส่งผลของกรรม พิลึกพิลั่นมหัศจรรย์ขนาดไหน ลองไปศึกษาดูในกรรมทั้ง ๓ หมวด ๑๒ ประเภท
๔) โลกจิณไตย ความเป็นไปของโลก
สี่อย่างนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่พึงคิด ผู้ที่คิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า บาลีใช้คำว่า อุมมัตตกภาโค พึงมีส่วนของความเป็นบ้า เนื่องจากไม่สามารถที่จะใช้สมองคิดแล้วประมวลด้วยตรรกะทั่ว ๆ ไปได้ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องโลก ๆ แต่เป็นเรื่องของอภิสังขาร ก็คือยิ่งกว่าการปรุงแต่งทั่วไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-05-2021 เมื่อ 03:22
|