ดังนั้น..เป้าหมายในชีวิตที่กระผม/อาตมภาพตั้งเอาไว้ไม่ได้สูง ต้องการแค่พระโสดาบันเท่านั้น ตอนช่วงนั้นกำลังใจถึงขนาดบอกกับตัวเองว่า ถ้าต้องเหนื่อยยากทุกข์ทรมานไปจนถึงอายุ ๑๒๐ ปี แล้วเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะว่าตัดการเวียนว่ายตายเกิดลงไป จนเหลือแค่เต็มที่ก็ ๗ ชาติ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายตั้งเป้าสูงสุดไว้ที่พระนิพพาน ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าให้ขยับเป้าหมายลงมาอยู่ในระยะที่ใกล้ไว้ เป้าหมายไกลเราเอาแน่ เหมือนกับการวางแผนระยะยาว แต่การวางแผนระยะกลางของเราคืออะไร ? เราจะทำเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ? แผนระยะสั้นก็คือเราจะทบทวนศีลของตัวเองอย่างไรให้บริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างไร ? เราจะสร้างสมาธิของเราให้เกิดระดับไหน ?
ฉะนั้น..หลักการบริหารที่คนสมัยใหม่เขานิยมใช้ เราก็สามารถเอามาปรับใช้กับการปฏิบัติธรรมของเราได้ อย่ามองเป้าหมายที่ไกลเกินแบบแผนระยะยาว คิดว่าจะอยู่ครองอำนาจ ๒๐ ปี ให้มองแค่ว่าจะรักษาเก้าอี้ตอนนี้ไว้ได้หรือเปล่าดีกว่า ชักจะไปไกลแล้ว..!
จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2022 เมื่อ 01:53
|