ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 12-11-2022, 00:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,560
ได้ให้อนุโมทนา: 151,651
ได้รับอนุโมทนา 4,410,082 ครั้ง ใน 34,150 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำ ถ้าเป็นบุคคลที่โดนหลักสูตรบังคับมา ก็จะรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้แบกข้าวสารทั้งกระสอบ รู้สึกหนักอกหนักใจมาก แต่สำหรับบุคคลที่เต็มใจมา เรามาด้วยความเบากาย เบาใจ พร้อมที่จะรับคุณงามความดีทั้งหลายเข้าไป

การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้านับเฉพาะเรื่องของสมาธิภาวนา มีมาก่อนศาสนาพุทธเนิ่นนานมาก แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนออกมหาภิเนษกรมณ์ ก็ยังต้องไปศึกษาตามสำนักต่าง ๆ จนไปสำเร็จสมาบัติที่ ๗ และสมาบัติที่ ๘ ในสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร

เพียงแต่พระองค์ท่านมีปัญญามาก เห็นว่านี่เป็นแค่การหนีทุกข์ชั่วคราว ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง จึงเสาะแสวงหาทางพ้นทุกข์ จนกระทั่งไปพบว่า สิ่งที่เขาปฏิบัติกันมาแต่ต้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสมถกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่ช่วยให้ใจสงบ ระงับ มีกำลังเข้มแข็ง แต่ไม่มีวิปัสสนากรรมฐาน ที่ช่วยให้สละ ตัด ละ กิเลสต่าง ๆ ออกจากใจได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อค้นพบดังนี้แล้ว จึงดำเนินจิตไปตามสมถะและวิปัสสนาทั้งหมด จนกระทั่งบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อประมาณ ๒,๖๐๐ ปีเศษที่ผ่านมา

ถ้าถามว่าสมถกรรมฐานไม่ใช่ของดีหรือ ? ขอยืนยันว่าเป็นของที่ดีมาก เพราะทำให้ใจเราสงบ กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ แต่ถ้าเราติดอยู่แค่ความสงบนั้นก็ไปไหนไม่รอด เพราะว่าเป็นการเพาะสร้างกำลังให้กับตัวเองจนมีกำลังมาก พอเราเอาไปใช้งานไม่เป็น ก็จะโดนกิเลสเอาไปใช้งานแทน..!

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่เน้นแต่สมถภาวนาอย่างเดียว เมื่อถึงเวลาแล้ว สมาธิจิตคลายออกมาแล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณไม่เป็น ก็จะฟุ้งซ่านไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง แทน เพราะว่าโดนกิเลสช่วงชิงเอากำลังที่เราใช้ได้ไปใช้งาน คราวนี้ก็จะออกอาการสาหัส..! ก็คือฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการมาก เพราะว่ามีกำลังมาก ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็จะเดือดร้อน เหมือนอย่างกับเลี้ยงเสือให้อ้วนแล้วก็มากัดเราเอง..!

แต่ถ้าหากว่าท่านที่มีความเข้าใจ เมื่อเพาะสร้างกำลังได้แล้ว ก็นำไปพิจารณาในวิปัสสนาญาณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ หรือว่าอริยสัจ ๔ แล้วแต่ความถนัดของตน พยายามสรุปให้เห็นจริงให้ได้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-11-2022 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา