อายุกาลผ่านวัยมากขึ้นเท่าไร เราก็สามารถทำกิจการงานต่าง ๆ ได้น้อยลง ความทุกข์ที่มีเท่าเดิม จึงกลายเป็นความทุกข์ที่มากขึ้น เพราะว่าทำได้น้อยลง แม้งานจะเท่าเดิมก็กลายเป็นงานที่มากขึ้น จนกระทั่งท้ายสุด ทุกขเวทนาต่าง ๆ บีบคั้น ร่างกายนี้ทนอยู่ไม่ได้ ก็ตาย..ก็พังไป
ตัวเราก็ทุกข์เช่นนี้ คนอื่นก็ทุกข์เช่นนี้ สัตว์อื่นก็ทุกข์เช่นนี้ วัตถุธาตุต่าง ๆ ก็ทุกข์เช่นนั้น วัตถุธาตุสิ่งของแม้ว่าจะไม่มีชีวิตก็ตาม ถึงเวลาก็ต้องทุกข์กับการเสื่อมสลาย การหมดอายุ การเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม ๆ ของตนเช่นกัน
เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ให้น้อมจิตน้อมใจ ยอมรับในความเป็นจริงที่เราเห็นชัดนี้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์นั้น ย่อมเป็นทุกข์จริง ๆ
เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว บางคนสมาธิก็เคลื่อนก็คลายไป ความฟุ้งซ่านเริ่มจะแทรกเข้ามา ถ้าหากว่ามาสายพองยุบก็ให้รีบกลับไปดูพองยุบใหม่ ถ้าหากว่ามาสายวิสุทธิมรรค ก็ให้วิ่งไปหาคำภาวนาและลมหายใจเข้าออกใหม่ จนกระทั่งสมาธิของเราทรงตัวโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็สามารถที่จะกำหนดรู้ได้เอง
จากนั้นเราก็หยิบยกเอาข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาพินิจพิจารณาใหม่ ก็คือสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตา ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-10-2021 เมื่อ 15:18
|