ดูแบบคำตอบเดียว
  #27  
เก่า 19-01-2022, 00:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,504 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ส่วนที่อยากจะเตือนสติพวกเราก็คือว่า การให้ทานนั้น ถ้านับอานิสงส์ทั่วไป..ให้หนึ่ง..ได้ร้อย การรักษาศีล..รักษาหนึ่ง..ได้หมื่น สำคัญที่สุดคือการภาวนา..ทำหนึ่ง..ได้ล้าน

ทำไมอานิสงส์ต่างกันขนาดนั้น ? อรรถกถาจารย์ท่านอธิบายง่าย ๆ ว่า ทาน...ทำด้วยกายอย่างเดียวก็ได้ ก็คือสักแต่ว่าหยิบส่ง ๆ ให้เขาไปก็ได้ ศีล...รักษากายกับวาจาเท่านั้น แต่ภาวนา..ต้องรักษาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจให้สงบระงับ ปราศจากกิเลส ต่อให้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว อานิสงส์ก็มหาศาล อานิสงส์ในการรักษาต้องระมัดระวังมากขึ้นเท่าไร กุศลก็ได้มากขึ้นเท่านั้น

ในส่วนของอานิสงส์ต่อไปในกาลข้างหน้า การให้ทาน..เกิดมาเราจะมีโภคสมบัติมาก พูดง่าย ๆ คือเกิดมารวย การรักษาศีล..เกิดมาเป็นผู้มีรูปสวย มีร่างกายสมบูรณ์ มีจิตใจดีงาม การเจริญภาวนา..เกิดมาจะเป็นคนฉลาดมาก

ถ้าเป็นไปได้ควรจะทำให้ครบถ้วนทั้งสามส่วน เพราะว่าถ้าคนสวยแต่ไร้สมอง ก็ดูท่าจะเอาตัวไม่รอด ส่วนคนรวย หน้าตาขี้เหร่ แม้ว่าพอที่จะกล้ำกลืนฝืนทนได้ แต่พ่อเจ้าพระคุณมีเงิน แต่ดันไม่มีสมอง ก็คงจะรักษาทรัพย์ไว้ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนานั้น ถ้าเป็นไปได้ควรจะทำให้ครบทุกอย่าง มีโอกาสให้ทาน..เราให้ทาน มีโอกาสรักษาศีล..เรารักษา มีโอกาสภาวนา..เราปฏิบัติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2022 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา