ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 23-07-2021, 23:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,530
ได้ให้อนุโมทนา: 151,474
ได้รับอนุโมทนา 4,406,587 ครั้ง ใน 34,120 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าทรงเรียงตามกำลังใจของเราที่เกิด ตามกำลังใจของเราที่เป็น จึงเป็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นิโรธนอนอยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรเลย ความสำคัญอยู่ที่มรรค ๘ คือทำอย่างไรเราจะเดินบนหนทาง ๘ สายนี้เพื่อที่เข้าถึงความดับ ? นิโรธเป็นจุดหมายปลายทางอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็ต้องมีตั้งแต่สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ไล่ไปเรื่อยจนถึงสัมมาสมาธิ ต้องทำได้สมบูรณ์พร้อม จึงเข้าถึงนิโรธคือความดับทุกข์อย่างแท้จริง สรุปว่านิโรธไม่ได้ช่วยอะไรเลย แค่อยู่เฉย ๆ

ตรงนี้ก็เหมือนกัน ทำไมจุตูปปาตญาณเป็นแก่น อาสวักขยญาณถึงไม่ใช่แก่น ? เพราะอาสวักขยญาณ เครื่องรู้ที่ทำให้กิเลสสิ้นไป หรือรู้ว่ากิเลสสิ้นไปแล้ว ชาติคือการเกิดจบลงแล้ว พรหมจรรย์ไม่ต้องประพฤติปฏิบัติเพราะมีครบถ้วนแล้ว การเกิดไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว เขาเรียกว่า อาสวักขยญาณ เครื่องรู้ในการทำกิเลสให้สิ้นไป อยู่เฉย ๆ เหมือนกัน ไม่ได้ทำอะไรเลย เรียนจบแล้วก็แค่รู้ว่าจบ

แต่จุตูปปาตญาณ การรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ? ตายแล้วจะไปไหน ? แต่ละคนสร้างกรรมอะไรมาถึงเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้คนเราเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดความรู้ดีรู้ชั่วขึ้นมาว่า เราเองเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว แต่ละชาติก็เจอแต่ความทุกข์แบบนี้ พอทีหรือยัง ?

ดังนั้น...จุตูปปาตญาณเป็นตัวสร้างให้เกิดอาสวักขยญาณ จุตูปปาตญาณจึงถูกจัดให้เป็นแก่น อาสวักขยญาณอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร คนถามก็ถามยาก คนตอบก็เลยต้องตอบยากตามไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2021 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา