นอกจากนั้นแล้วก็มีการกล่าวถึงอารัมณูปนิชฌาน บอกว่าเป็นฌานที่แผดเผาซึ่งนิวรณ์ กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า คำอธิบายตรงนี้ไม่ตรงนัก เพราะว่าตราบใดที่ยังมีนิวรณ์อยู่ เราไม่สามารถที่จะทรงฌานได้ ต้องก้าวข้ามนิวรณ์ไปแล้ว จึงจะสามารถทรงฌานได้
ไม่เช่นนั้นแล้ว อารมณ์ที่ฟุ้งซ่านไปในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศก็ดี
อารมณ์ที่โกรธเกลียด อาฆาตพยาบาทผู้อื่นก็ดี
อารมณ์ที่ง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติก็ดี
อารมณ์ลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติว่าจะเป็นจริงหรือว่ามีจริง หรือว่าได้จริงหรือไม่ก็ดี
หรือว่าท้ายที่สุด ในส่วนของอารมณ์ใจที่ฟุ้งซ่าน ไม่ตั้งมั่นก็ดี
อารมณ์ทั้งหลายนี้ย่อมทำให้กำลังใจของเราไม่สามารถที่จะทรงฌานได้ เมื่อทรงฌานไม่ได้ แล้วจะไปแผดเผากิเลส หรือว่ากดทับกิเลส หรือว่าก้าวข้ามกิเลสได้อย่างไร ? ดังนั้น...อารัมณูปนิชฌานต้องเป็นอารมณ์ที่ก้าวข้ามนิวรณ์ไปได้แล้ว
ขณะเดียวกัน ท่านก็มีคำอธิบายว่า ปีติที่จะทรงฌานได้นั้น ต้องเป็นผรณาปีติเท่านั้น ท่านทั้งหลายคงจะศึกษามาแล้วว่า ปีติประกอบไปด้วย
ขณิกาปีติ มีอาการเหมือนกับขนลุกเป็นระลอก ๆ
ขุททกาปีติ มีน้ำตาไหล
โอกกันติกาปีติ มีร่างกายโยกโคลงไปมา บางทีก็ดิ้นตึงตังโครมครามไปเลยก็มี
อุเพ็งคาปีติ ลอยขึ้นไปได้ทั้งตัว
ท้ายที่สุดคือผรณาปีติ มีความรู้สึกซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย บางทีก็รู้สึกว่าตัวรั่วเป็นรู มีสิ่งของไหลออกมาซู่ซ่าไปหมด บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด เหล่านี้ยังเป็นแค่อารมณ์ปีติ ไม่มีทางที่จะเป็นฌานไปได้ จนกว่าท่านทั้งหลายจะก้าวผ่านปีติไปแล้ว เป็นความสุข แล้วถึงจะเข้าถึงเอกัคตารมณ์ ต้องมาถึงตรงนี้จึงทรงเป็นฌานอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาเป็นแค่ขั้นตอนของการก้าวไปสู่ฌานเท่านั้น
ดังนั้น..ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงอุเบกขา จึงไม่สามารถที่จะเป็นองค์ฌานได้ อุเบกขาในที่นี้คือเอกัคตารมณ์ อารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว คำว่าเอกัคตา ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวนั้น ถ้าแยกออกแล้ว จะมีอารมณ์อุเบกขาอยู่ภายในด้วย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2022 เมื่อ 01:57
|