ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 24-03-2024, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,575
ได้ให้อนุโมทนา: 151,708
ได้รับอนุโมทนา 4,411,133 ครั้ง ใน 34,165 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วองค์สมเด็จพระทศพลก็ได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า สาเหตุแห่งความรักนั้น มีมาดังนี้คือ ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ปัจจุปปันนะ หิเตนะวา เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโถทะเก

ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ก็คือความรักนั้นย่อมเกิดด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการที่ ๑ การอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อน ที่ภาษาไทยเรียกกันว่าบุพเพสันนิวาส

ประการที่ ๒ ท่านบอกว่าปัจจุปปันนะ หิเตนะวา ก็คือ เกื้อกูลสร้างประโยชน์ต่อกันในปัจจุบัน


เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลัง วะ ยะโถทะเก ก็คือเหมือนอย่างกับดอกบัวที่เกิดขึ้นในน้ำ จะเกิดได้ก็เพราะอาศัยเหตุสองประการ คือน้ำและโคลนฉะนั้น

ดังนั้น..ธรรมดาความรักนี้ ถ้าหากว่าเคยเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา หรือสหายกันมาในชาติก่อน ๆ ความรักนั้นก็ยังคงติดตามไปในชาติอื่น ๆ อีก ทำให้เห็นหน้าก็รู้สึกรัก รู้สึกชอบพอใจ

ในขณะเดียวกัน ถ้าในชาติปัจจุบันนี้ มีการเกื้อกูลต่อกัน เอื้ออาทรต่อกัน ก็ก่อให้เกิดความรักได้เช่นกัน ดังนั้น..ใครที่หมอดูบอกว่าไม่มีเนื้อคู่ โปรดอย่าเชื่อเป็นอันขาด เนื้อคู่ที่ว่านั้นคือเนื้อคู่โดยบุพเพสันนิวาส เราก็มาหาเนื้อคู่ที่เกื้อกูลกันในปัจจุบันเสียก็หมดเรื่องไป..!

ส่วนการที่เราจะอยู่ด้วยกันในฐานะคู่ครอง แล้วสามารถที่จะอยู่ได้ โดยที่ไม่ลำบากมากนัก ก็ต้องมีสมชีวิธรรม ๔ ประการ ซึ่งตรงนี้มาในอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2024 เมื่อ 01:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา