ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 07-07-2021, 22:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,856 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีนักเทศน์บางท่านได้กล่าวว่า มนุษย์เราแยกออกเป็นหลายประเภท อย่างเช่นว่า

มนุสสเนรยิโก กายเป็นมนุษย์ สภาพจิตเหมือนกับสัตว์นรก
มนุสสเปโต กายเป็นมนุษย์ สภาพจิตเหมือนกับเปรต
มนุสสติรัจฉาโน กายเป็นมนุษย์ สภาพจิตเหมือนอย่างกับสัตว์เดรัจฉาน
มนุสสภูโต กายเป็นมนุษย์ สภาพจิตมีศีลมีธรรมเหมือนกับมนุษย์ที่สมบูรณ์
มนุสสเทโว กายเป็นมนุษย์ สภาพจิตประกอบด้วยศีลด้วยธรรม ละอายชั่วกลัวบาป เหมือนเทวดานางฟ้า

ในส่วนนี้ เมื่อพวกเราเปรียบเทียบกับตัวเองแล้ว สามารถที่จะให้คะแนนตัวเองได้ว่า ตัวเราจัดอยู่ในระดับไหน ? เราเป็นมนุษย์สัตว์นรก เป็นมนุษย์เปรต เป็นมนุษย์สัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์สมบูรณ์ หรือเป็นมนุษย์ที่เหมือนกับเทวดานางฟ้า เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราเอาไว้เตือนใจสอนใจตนเองว่า ถ้าเราละเมิดศีลเมื่อไร ความเป็นสัตว์จะเข้ามา ถ้าความเป็นสัตว์มีมากกว่าคนเมื่อไร เราก็มีโอกาสลงอบายภูมิเมื่อนั้น

ในส่วนนี้เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า ศีล ที่บาลีท่านสรุปเอาไว้หลังจากที่บอกให้ญาติโยมสมาทานว่า สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยให้เราไปสู่สุคติ ก็คือหลังจากตายแล้วไปสู่ที่ไปอันดี ต่ำสุดก็เป็นมนุษย์สมบูรณ์ เพราะว่าศีล ๕ ข้อ คือมนุสสธรรม

ถ้าหากว่าเราสามารถรักษาศีลเป็นปกติ มีความละอายต่อความชั่ว ไม่กล้าละเมิดศีล มีความเกรงกลัวต่อบาป ว่าละเมิดศีลแล้วจะเกิดโทษต่อเรา ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้

ถ้าหากว่าเรามีศีลเป็นปกติ ไม่ว่าขยับตัวไปทางไหน สติก็รู้รอบระมัดระวัง ไม่ให้ทุกสิกขาบทพร่อง ถ้าอย่างนี้เราตายแล้วสามารถไปเกิดเป็นพรหมได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2021 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา