บุคคลที่เข้าถึงตรงจุดนี้ จะสัมผัสกระแสพระนิพพานได้ จึงรู้ว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหน นอกจากอยู่ที่ใจของเรา หรือจะบอกว่าอยู่ในทุกหนทุกแห่งก็ว่าได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโก แม้ว่าจะไม่สามารถรู้เห็นหรือติดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่มั่นใจในเรื่องพระนิพพานเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพระนิพพานเต็มอยู่ในจิตในใจของท่านเอง เอาไว้เดี๋ยวทำถึงก็จะเข้าใจ ถ้าอธิบายเป็นคำพูดนี้ยากมาก
สรุปว่าผู้ที่เข้าถึงมรรคถึงผล จะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อเป็นเตวิชโช ฉฬภิญโญ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโตเท่านั้น ถ้าเป็นสุกขวิปัสสโกไม่ได้รับการพยากรณ์ แต่ญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น ทำให้รู้ว่าตนเองเข้าถึงแล้ว
แต่ด้วยความที่เป็นผู้ไม่ประมาท ก็จะไม่เชื่อว่าตนเองเข้าถึงจริง กฎเกณฑ์กติกาของความเป็นพระอริยเจ้ามีอย่างไร ก็พากเพียรทำไปเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าพยากรณ์ว่าได้แล้ว เราก็ขี้เกียจนอนทอดหุ่ย ไอ้นั่นเป็นไปตามกิเลสที่พวกคุณคิด แต่ว่าความจริงแล้ว ต่อให้เป็นพระอรหันต์ ก็ยังปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่เป็นปกติ ก็คือเป็นการไม่ประมาท ชำระจิตของตนให้สะอาดอยู่เสมออย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำตนเป็นแบบอย่างให้กับผู้อยู่ข้างหลัง ถึงเวลาเขาจะได้เดินตามรอยของตนเพื่อไปสู่พระนิพพานได้
ดังนั้น...ในเรื่องของพระนิพพาน ถ้าหากว่าพูดไป ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงเพราะว่าพระนิพพานไม่ใช่สมมติที่เราจะมาจับได้ต้องได้ แต่เป็นวิมุตติ ที่สัมผัสด้วยใจของบุคคลที่เข้าถึงเท่านั้น
จึงขอเรียนถวายต่อทุกท่าน และบอกกล่าวแก่ญาติโยมให้ทราบแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2021 เมื่อ 03:21
|