ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 01-06-2021, 23:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,523
ได้ให้อนุโมทนา: 151,448
ได้รับอนุโมทนา 4,406,282 ครั้ง ใน 34,113 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ พักเดียวขึ้นเดือนใหม่อีกแล้ว ตัวกระผม/อาตมภาพเองช่วงที่บวชมา ๒-๓ พรรษาแรก รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก เหตุที่รู้สึกว่าผ่านไปเร็วมาก เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทอยู่กับการปฏิบัติ ไม่ได้ดูฟ้าดูดิน ดูเวล่ำเวลา ก็คือว่างเมื่อไร จะลงมือปฏิบัติธรรมทันที กลางค่ำกลางคืนก็ไม่ค่อยได้หลับได้นอน เดินจงกรมภาวนาไปเรื่อย เหนื่อยตรงไหนก็หลับตรงนั้น

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เราจะรอเวลาและสถานที่ไม่ได้ เพราะว่ากิเลสไม่รอด้วย ก็มีอยู่อย่างเดียว คือพวกเราต้องทุ่มเทเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมตลอดเวลา เพราะว่ากิเลสไม่เคยปล่อยมือให้เราได้พัก

ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรามีโอกาส ก็ต้องตามตีกิเลสให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่เนื่องจากว่ากิเลสนั้นมีมายามาก อาศัยเราอยู่ ก็คืออาศัยอยู่ในขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ เมื่อถึงเวลาถ้าไม่สามารถที่จะสู้กำลังของเราได้ ก็ทำท่าจะตาย แต่มักจะหลอกให้เราเข้าใจผิดว่าตัวเราจะตาย แล้วเราก็จะเลิกการปฏิบัติที่เป็นการที่เข่นฆ่ากิเลสให้วอดวายลงไปได้ เพราะไปคิดว่าตัวเราจะตาย ไม่ใช่กิเลสจะตาย..!

ดังนั้น..นักปฏิบัติสายวัดป่าจึงมีคำพูดติดปากว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ก็คือต้องแลกกันด้วยชีวิต ไม่ใช่พอทำไปหน่อยหนึ่ง รู้สึกว่าร่างกายไม่ไหว เราก็หยุด ก็แปลว่าเราโดนกิเลสหลอกอยู่ตลอดเวลา แต่พอเวลาได้เปรียบ กิเลสกลับไม่ปล่อยเรา แต่บี้เราชนิดที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ว่า พวกเราเองโง่ขนาดไหน ที่ถึงเวลาแล้วก็ไปปล่อยให้กิเลสมีโอกาส แล้วก็หวนกลับมาเข่นฆ่าทำลายเรา ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-06-2021 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา