๕๘. เกราะแก้วแห่งธรรม
สิ่งที่นักปฏิบัติหน้าใหม่ (หรือเก่าด้วย) กลัวกันเป็นนักหนาคือ การ “
จิตตก” มันเป็นอาการที่กำลังใจซึ่งทรงไว้ในด้านดี เกิดพลาดท่าพลาดทาง เลี้ยวกลับไปหาความเลวเก่า ๆ เอาดื้อ ๆ บางคนตั้งหลักไม่ทัน ทำใจให้ยอมรับไม่ได้ เกิดฟุ้งซ่านคิดมาก แทบจะฆ่าตัวตายประชดชีวิตไปเลยก็มี...!
ความจริงอาการ “
จิตตก” หรือ “
กำลังใจตก” หรือ “
สมาธิตก” เป็นของธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องเจออยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องเสียอกเสียใจอะไร ก่อนนี้เราทำความเลวอยู่ มาตอนนี้หันมาทำความเลวใหม่ เพราะหลงกลพญามารที่มาล่อลวง ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย เพราะเรามาจากที่ต่ำ การย้อนกลับที่ต่ำคือเท่าทุน มิหนำซ้ำยังกำไรประสบการณ์อีกต่างหาก...!
เมื่อรู้ตัวก็ตั้งหน้าทำดีใหม่ ระวังไว้ว่าคราวก่อนเราพลาดตรงไหน ถึงเวลาอย่าให้พลาดอีก...แต่ก็นั่นแหละ เล่ห์เหลี่ยมของมารนั้นยากที่เราจะระวังป้องกัน ปิดจุดนี้มันตีจุดนั้น ตั้งป้อมรับจุดนั้น มันเข้าตีจุดโน้น...วนเวียนไปไม่รู้จบ จนกว่าเราจะประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อมนั่นแหละ...มารจึงหลอกไม่ได้...
อาตมาเองนั้นหกล้มหกลุกมานับครั้งไม่ถ้วน บางปีก็หลาย ๆ พันครั้ง อาการจิตตกของอาตมาส่วนใหญ่
เกิดจากกำลังสมาธิขาดตอน ทำให้นิวรณ์เข้าแทรก ชักนำจิตเข้าสู่ความรัก โลภ โกรธ หลง แรก ๆ ก็แย่เหมือนกัน ยิ่งคิดฟุ้งซ่านนิวรณ์ยิ่งซ้ำ กว่าจะทำใจได้ ก็ชอกช้ำทั้งกายและใจ...
การ “
จิตตก” บ่อย ๆ เท่ากับได้ซ้อมความคล่องตัวของกำลังใจ แรก ๆ ก็มืดไปเป็นเดือน ๆ มาตอนหลังชักจะชำนาญกับการยกจิตขึ้นสู่จุดเดิม ระยะเวลาของการพลาดไปคิดเลว พูดเลว ทำเลว ก็สั้นเข้าทุกที จนถึงระดับหนึ่ง กำลังใจเห็นความธรรมดาของอาการจิตตกคือ เริ่ม “
ทำใจได้” คราวนี้ก็มีพื้นฐานรองรับ...! เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังใจก็จะแน่นเข้า ถึงพลาดตกลงมา ก็จะไม่ตกเกินกว่าจุดพื้นฐานนี้ และจะ “
ฟื้นตัว” เร็วมาก สามารถไปสู้กับกิเลสใหม่ ถึงโดนชกร่วงอีกกี่ครั้ง ก็สามารถลุกขึ้นก่อนที่จะถูกนับสิบ คราวนี้แหละคุณเอ๋ย...การประลองยุทธในสนามเพื่อเอาชนะกิเลสก็เริ่มสนุกสนาน เพราะชักจะมีลุ้นขึ้นมาบ้าง...!
อาตมานั้นล้มลุกคลุกคลานมาตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถูกโจมตีด้วยกระบวนท่าเดียวบ่อย ๆ พลอยเกิดความชำนาญ สามารถทรงอารมณ์สมาธิ หนีนิวรณ์ได้ติดต่อกันโดยไม่ขาดตอนเป็นเวลาหลายเดือน แต่อารมณ์มันแน่นมาก ไม่อยากจะพูดจากับใครทั้งนั้น ซึ่ง “
หลวงพ่อ” บอกว่า “
ยังใช้ไม่ได้” ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น ก็จำเป็นต้องพยายามกันใหม่ แต่แหม...อารมณ์ “ใช้ได้” ของ “หลวงพ่อ” มันยากอย่าบอกใคร ไอ้เรามันประเภทปรอท เทลงดินเป็นซึมหายวับ ถูกอารมณ์ทางโลกกลืนไปสนิท อารมณ์ที่ “หลวงพ่อ” ต้องการ
จะต้องเหมือนกับน้ำบนใบบอน หมุนไปกับโลกทุกอย่าง แต่ไม่ติดในโลก...!
งานเป่ายันต์เกราะเพชรของ “หลวงพ่อ” มักจะมีควบกับ
การกวนข้าวทิพย์ อาตมาช่วยงานกวนข้าวทิพย์มาตั้งแต่ครั้งแรก หน้าที่ประจำคือขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายไฟฟ้า ไอ้กระต่ายมหาภัยนี้ใคร ๆ ก็กลัว เพราะพลาดนิดเดียวเป็นได้แผลเหวอะหวะ อาตมาเลยต้องเหมามาทุกงาน และเจ็บตัวทุกงานซิน่า...!
โรงเรียนวัดในขณะนั้นยังเป็นโรงเรียนรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนราษฎร์อย่างทุกวันนี้ อาจารย์ที่คุมหอพักนำนักเรียนหญิงมาช่วยขูดมะพร้าวและคั้นกะทิ วงพิณพาทย์ตีเพลงมัน ๆ ให้จังหวะอย่างคึกคัก เป็นการช่วยให้ทำงานอย่างมีชีวิตชีวาและไม่เหน็ดเหนื่อย “
อายุสิบห้าก็มาเป็นสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับ ๆ แวม ๆ...” พอเขาขึ้นเพลงนี้เท่านั้นก็ได้เรื่อง...! บรรดานักเรียนทั้งหลาย ทั้งโห่ทั้งเฮ ส่งเสียงกรี๊ดกันเป็นที่สะใจ ที่ทนไม่ไหวก็ออกรำเฉิบ ๆ ไปตามจังหวะเพลงด้วยความมันสุดขีด การงานถูกทิ้งชั่วคราว หันมารำวงกันเป็นที่สนุกสนาน กองเชียร์ก็ตะเบ็งเสียงเชียร์กันสุดหัวใจ...!
เด็กสาวอายุ ๑๕ – ๑๖ นับร้อย ๆ คน ตะเบ็งเสียงพร้อม ๆ กันนั้น มันจะแสบแก้วหูสุดทนขนาดไหนก็สุดที่จะบรรยายถูก จิตของอาตมาที่ชำนาญต่อการ “
หนีโลก” ก็วูบเข้าสู่อารมณ์เคยชิน ละวางสิ่งต่าง ๆ ภายนอกทั้งปวง จดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียวภายใน สรรพสำเนียงต่าง ๆ ขาดจากใจโดยสิ้นเชิง...! ประหลาดแท้...? ทุกครั้งพออารมณ์ถึงที่สุด จิตจะไม่รับรู้อารมณ์ภายนอกเลย แต่คราวนี้มันรู้ทุกอย่าง และถ้าอะไรจำเป็น จิตจะคลายออกมาเพื่องานนั้นโดยเฉพาะ พอเสร็จก็ดิ่งกลับจุดเดิม บังคับมันขึ้นได้ลงได้ดังใจ เหมือนกับการเปิดปิดประตูอย่างไรก็อย่างนั้น นี่กระมัง... น้ำกลิ้งบนใบบอน...?
จับจิตตัวเองดู เห็นเป็นวงกลมใสสะอาดหมุนวนโดยรอบ เหมือนมีเกราะแก้วคุ้มจิตจากนิวรณ์ ถ้าจำเป็นก็เปิดเกราะออกมารับรู้โลกภายนอก ไม่จำเป็นก็ปิดเกราะกั้นนิวรณ์ไว้ ปล่อยกายวาจาทำหน้าที่ของโลกไปตามเรื่อง มีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา อารมณ์หนักเบาจากภายนอกกระทบไม่ได้เลย...
หลังจากฝึกซ้อมจนชำนาญอาตมาก็เข้าใจ มันเป็นสมาธิสำหรับใช้งานนั่นเอง สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง โดยไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังทรงอารมณ์สมาธิอยู่...ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งของเรา เพราะอารมณ์โลกีย์ประมาทเมื่อไรพังเมื่อนั้น... จงระวัง...จงระวัง...!
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ