ดูแบบคำตอบเดียว
  #53  
เก่า 23-03-2009, 08:54
วาโยรัตนะ วาโยรัตนะ is offline
สมาชิก VIP - ผู้ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 550
ได้ให้อนุโมทนา: 13,972
ได้รับอนุโมทนา 45,910 ครั้ง ใน 953 โพสต์
วาโยรัตนะ is on a distinguished road
Default

ตอนฝึก ตรงนั้นศีลมันไม่ขาด เรานั่งอยู่ตรงนั้นจะไปฆ่าใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราไปขโมยของใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปแย่งคนรักใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปโกหกใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปกินเหล้าได้อย่างไร ตอนช่วงนั้นเวลานั้นเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อย่าลืมว่ามโนมยิทธิสำหรับพวกเราคือ โลกียอภิญญา ถ้ารวบรวมความมั่นใจได้เมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น มันก็ได้ตอนนั้น มันก็ได้เดี๋ยวนั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าศีลบกพร่องมันก็เสื่อม มันก็คลายตัวไป เรามั่นใจใหม่เมื่อไหร่มันก็ได้อีกเมื่อนั้น เรื่องของอภิญญาโลกีย์ มันเป็นอย่างนี้

ถามว่าในเมื่อเป็นอภิญญาโลกีย์ ทำไมถึงไปพระนิพพานได้เพราะว่าตอนช่วงนั้นครูฝึกจะสอนให้เราตัดกิเลสให้วางกำลังใจเราเทียบเคียงพระโสดาบัน พระโสดาบันแปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เราก็เลยไปนิพพานได้ แต่ของเราไปได้แค่ชั่วคราวถึงเวลาเขาไล่กลับ เขาไม่ให้อยู่ เพราะฉะนั้น ทำเอาไว้เถอะ เพราะว่าเราทำมโนมยิทธิได้แล้วให้เกาะพระนิพพานโดยตรง ให้เกาะพระพุทธเจ้าบนนิพพานโดยตรง อันนั้นเป็นวิธีตัดกิเลสโดยอัตโนมัติที่สุด
รู้สึกว่าโกรธใครก็วิ่งไปกราบพระบนนิพาน รู้สึกว่าราคะเกิดก็วิ่งไปกราบพระบนนิพาน หากว่าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นอยู่กับตัวของเรานี้ไม่มีจิตปรุงแต่ง มันเจริญงอกงามไม่ได้ มันจะเฉาตายไปในเวลาอันรวดเร็วไม่เกินนาที สองนาที ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆจะเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ ถ้ามันเคยชินจะเป็นพระอรหันต์ไปเลย

มโนมยิทธิที่หลวงพ่อสอน จุดสำคัญที่สุดมันอยู่ตรงจุดนี้ อย่าไปใช้ผิดจุด

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 23-03-2009 เมื่อ 12:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา