ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 20-06-2021, 23:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,981 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่คราวนี้ด้วยความที่ท่านปฏิบัติตนแบบไม่ระมัดระวัง อย่าลืมว่าบาตรสมัยก่อนเป็นบาตรดินเผา พอถึงเวลาเก็บบาตรใต้เตียง ท่านวางลงแล้วก็ผลักครูดเข้าไป พอถึงเวลาเอาบาตรออกมา ก็ดึงพรวดออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม เพราะว่าเป็นการประทุษร้ายบาตร ต้องอาบัติทุกกฏ

ท่านทำแบบนั้นทุกวัน จนกระทั่งบาตรเหลืออยู่ครึ่งใบ ก็ยังไม่เลิกความประพฤตินั้น ท้ายสุดบาตรนั้นเหมือนกับจานใบหนึ่ง คุณนึกเอาก็แล้วกันว่าบาตรสูงแค่ไหน สึกจนกระทั่งเหลือเป็นจานใบหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็เลยอนุญาตให้ท่านมีสายโยก เพื่อที่จะถักและสะพายบาตรนั้นได้ ท่านก็เลยได้ชื่อว่า "ปิณโฑล" คือทำเพื่ออาหารบิณฑบาต คราวนี้ท่านมาจากตระกูลใหญ่คือตระกูลภารทวาช เขาเลยเรียกท่านว่าพระปิณโฑลภารทวาช

เมื่อเห็นว่าเวลาเหมาะสม พระพุทธเจ้าท่านก็ให้กรรมฐาน ท่านปฏิบัติไปไม่นาน ก็กลายเป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ ด้วยความที่ในอดีตชาติท่านเคยเป็นราชสีห์มาก่อน ให้การอุปถัมภ์ค้ำจุนพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง พอถึงเวลาก็ส่งเสียงคำราม เพื่อไม่ให้สัตว์อื่นมารบกวนพระปัจเจกพุทธเจ้า มาในชาตินี้ท่านก็ยังติดนิสัยเดิม

เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว ก็เที่ยวเดินถามเพื่อนพระว่า "ใครยังไม่รู้ธรรม จงมาถามเรา" แรก ๆ พระปุถุชนก็หมั่นไส้ ฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าต้องบอกว่า "ภารทวาชลูกเราบรรลุอรหัตผลแล้ว" ท่านอื่นถึงได้ยอมเชื่อ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2021 เมื่อ 01:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา