สมัยอยู่วัดท่าซุง มีสองครอบครัว ลูกเป็นวัยรุ่นเที่ยวกลางคืน กลับบ้านตีหนึ่งตีสอง ตอนที่อาตมาอยู่เวรยามก็ลองใช้วิทยุสื่อสาร คราวนี้ใช้ช่องสมัครเล่น คลื่นวีอาร์ พอวัยรุ่นพวกนี้คุยเข้ามา เราก็คุยแทรก แทรกไปแทรกมา เห็นว่าคุยสนุกหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เขาก็เลยขอ ว.๑๕
ถาม : แปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : เขาขอพบหน้า เขาถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน เราก็บอกว่าบ้านอยู่มโนรมย์ มาทางด้านอุทัยธานีสี่กิโล รั้วเหลือง ๆ ยาว ๆ นั่นแหละบ้านหลังนั้น ขึ้นมาเลย เขาก็มาจริง ๆ มาแล้วก็งง ๆ เรามองดูแล้ว เวรกรรม..! เจ้าตัวเล็กสุดเพิ่งจะอยู่ ป.๖ นอกนั้นก็อยู่ ม.๑ - ม.๔ ก็เลยถามผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ? ปรากฏว่าคนที่เรียนได้สูงที่สุดได้เกรด ๒.๘ ถามเขาว่าอยากเรียนเก่งไหม ? เขาบอกว่าอยากเรียนเก่ง ก็เลยสอนให้เขาทำสมาธิ ปรากฏว่าเทอมต่อมาได้เกรดสามกว่าทุกคนเลย พ่อแม่เลยพามาหมดทั้งบ้าน
เขาบอกว่าเขาอยู่ที่นั่นมานานแล้ว ได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อ แต่พ่อแม่ไม่พาเข้าวัด เพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ แล้วพ่อแม่เขาฟรีกับลูกมากเลย ปล่อยเที่ยวกลางคืนดึก ๆ ทุกคืน ลูกผู้หญิงล้วน ๆ สองครอบครัวเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ๖ คน เขาบอกกับลูก ๆ ว่า ไปหัวหกก้นขวิดอย่างไรก็ได้ อย่าให้ท้องก็พอ..!
ก็ต้องค่อย ๆ ชี้แจงให้เขารู้ว่า แม้ว่าพ่อแม่จะรักและตามใจ แต่เราต้องรักตัวเราเอง เพราะว่าทุกคนจะต้องโตขึ้นไปข้างหน้า และทุกคนก็หวังที่จะมีครอบครัวที่ดีและมั่นคง ถ้าเราทำตัวอย่างนี้อยู่ทุกวัน ๆ และคนรู้กันทั่ว ใครเขาจะมาขอแต่งงานด้วย เราต้องบอกความจริงกับเด็กนะ ไม่ใช่ปิด ๆ บัง ๆ พูดให้เขาคิดเอง เขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยน จากที่เคยไปเที่ยวกลางคืนก็ไม่ไปแล้ว
มีอยู่รายหนึ่งคนที่อยู่ ม. ๔ ตัวใหญ่ น้ำหนักมาก บอกเขาว่า จริง ๆ แล้วเขาหน้าตาดีมาก ถ้าหากลดรูปร่างลงหน่อย รับรองหนุ่มเดินตามเป็นหางเลย เขาเลยเกิดแรงบันดาลใจไปลดน้ำหนัก ตอนหลังก็ไปแต่งงานกับลูกเจ้าของโรงสี
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-01-2010 เมื่อ 16:37
|