อย่างเช่นว่า อาฬวีเศรษฐี เคยเป็นมหาเศรษฐี แล้วก็รักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ไม่ได้ กลายเป็นคหบดี คือทรัพย์ลดน้อยลงมา จนในที่สุดกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าไปเจอขอทานอยู่หน้าประตูเมืองอาฬวี ท่านก็ยิ้ม พระอานนท์ถามว่า ทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยเหตุใด ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีหรือไม่ ? พระอานนท์ตอบว่า ไม่เห็นเจ้าข้า เห็นมีแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขอทานนั่นแหละคืออาฬวีเศรษฐี สมัยที่ท่านเป็นเศรษฐี ถ้าฟังธรรมจากตถาคตจะได้เป็นพระอนาคามี ตอนที่ทรัพย์ลดลงมาเป็นคหบดี ถ้าฟังธรรมจะได้เป็นพระโสดาบัน แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นขอทาน จิตมัวแต่หมกมุ่นกังวลอยู่กับการทำมาหากิน ถึงฟังธรรมไปก็ไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผล
คราวนี้พระอานนท์ท่านจำแม่น ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่เป็นสอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า บุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอาฬวีเศรษฐีคนนี้ถึงได้เสื่อม ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาฬวีเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี
อธิษฐานบารมีเหมือนกับยิงปืนแล้วเราเล็งเป้า อย่างไรก็ให้ถูกเป้าแน่นอนดีกว่า ไม่ใช่ยิงส่งเดช โอกาสจะถูกก็น้อย เพราะฉะนั้น..คนที่จะใช้อธิษฐานบารมีก็คือ เราทำอะไรต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ถึงวาระผลนั้นจะเกิด การอธิษฐานเป็นการเจาะจงว่าให้ผลนั้นเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไร เพื่อที่จะได้พอเหมาะพอดี พอควรกับความต้องการของเรา ไม่ใช่หิวข้าวตอนนี้ อีก ๓ วัน ข้าวค่อยมาก็อดแย่เลย เพราะฉะนั้น..อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องสำคัญมาก คนที่ไม่เข้าใจมักจะคิดว่า ทำบุญแล้วยังขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ เข้าใจผิดมากเลย
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 11-12-2020 เมื่อ 21:03
|