ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 31-03-2023, 00:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,912 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนในเรื่องของงานวันเกิดนั้น กระผม/อาตมภาพไม่มีความเห็น เพราะว่าตัวกระผม/อาตมภาพเองถือตามแบบโบราณ ก็คือทำบุญวันเกิดตอนอายุ ๖๐ ปี หลังจากนั้นแล้วคนโบราณมีแนวจัดการ ๒ อย่าง ก็คือทำทุก ๑๐ ปี หรือทำทุกรอบนักษัตร ๑๒ ปี ก็แปลว่าหลัง ๖๐ ไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ทำบุญอายุ ๗๐ , ๘๐ , ๙๐ ก็จะทำบุญอายุ ๗๒ , ๘๔ , ๙๖ ปี เป็นต้น

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบุคคลที่ทำบุญวันเกิดในสมัยก่อนนั้น ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มากด้วยบุญด้วยบารมี เป็นเจ้าพระยามหาอำมาตย์บ้าง เป็นเชื้อพระวงศ์บ้าง ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีคนเคารพนับถือมากก็จริง แต่ท่านก็เกรงว่าจะเป็นการรบกวนคนอื่น โดยเฉพาะสมัยก่อน การเดินทางไม่ได้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ เอาแค่ว่าถ้าในอำเภอทองผาภูมิของเรา จากวังปะโท่จะเดินทางลงไปกาญจนบุรี ต้องลงมาค้างที่อำเภอทองผาภูมิ ๑ คืน ทั้ง ๆ ที่วังปะโท่ห่างจากทองผาภูมิแค่ ๒๒ กิโลเมตรเท่านั้น..!

ดังนั้น..ในสมัยที่เรา ๆ ท่าน ๆ ยังเห็นทันกันอยู่ การเดินทางยังลำบากขนาดนี้ บรรดาเจ้าใหญ่นายโตที่มีบุญมีบารมี จึงใช้วิธีการทำบุญตามรอบนักษัตร ซึ่งมีค่านิยมมาจากประเทศจีนว่า รอบนักษัตรใหญ่เลยก็คือ ๖๐ ปี หลังจากนั้นก็จะถือรอบ ๑๐ ปีครั้ง หรือว่า ๑๒ ปีครั้งก็แล้วแต่เจ้าตัว จะได้ไม่เป็นการบกวนผู้อื่นหรือว่าบริวารมากจนเกินไป แต่มาสมัยนี้การเดินทางสะดวกสบาย การทำบุญวันเกิด ใครมีความสามารถก็จัดไป แต่กระผม/อาตมภาพก็ยังคงถือหลักโบราณ ก็คือไปทำอีกทีตอนอายุ ๗๒ ปีโน่น ถ้าอยู่ไม่ถึงก็จบกันแค่นี้..!

สมัยนี้บรรดาเด็ก ๆ ให้ความสำคัญกับงานวันเกิดมาก อายุแค่ ๒ ขวบก็มาเป่าเทียน ๒ ต้นกันแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าเป็นแนวปฏิบัติที่กระผม/อาตมภาพได้ทำเอาไว้ตั้งแต่สมัยฆราวาส วันเกิดก็จะพาแม่ไปทำบุญไหว้พระ ไปเลี้ยงอาหาร เพราะว่าวันเกิดของเราเป็นวันที่แม่เฉียดความตายมากที่สุด เนื่องเพราะว่าการคลอดลูกสมัยก่อน ไม่ได้สะดวกเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ถ้าคลอดไม่ได้ หมอก็ช่วยผ่าให้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เอาสะดวกให้หมอผ่าไปเลย แต่สมัยก่อนถ้าคลอดไม่ออก โอกาสตายมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!

ดังนั้น..บรรดาไอ้ทิดต่าง ๆ ที่บวชเข้ามาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องศึกษาก็คือการทำน้ำมนต์สะเดาะลูก อย่างไม่เป็นอะไรเลย อย่างน้อยก็ต้องเสกกล้วยให้เมียกินเพื่อให้คลอดง่าย หรือถ้าจะเอาระดับสุดยอดเลย ต่อให้เด็กตายในท้อง ก็เสกสายสิญจน์ให้กินเข้าไปพร้อมกับน้ำมนต์ แล้วคลอดศพเด็กออกมาได้โดยที่สายสิญจน์คล้องคอเด็กออกมาด้วย ซึ่งไอ้กระเพาะที่รับน้ำมนต์กับมดลูกนั้นคนละทิศคนละทางกัน แต่ในเรื่องของจิตศาสตร์ ทุกอย่างสามารถแปลงเป็นพลังงาน เมื่อไปถึงอีกที่หนึ่ง จึงกลับมาเป็นวัตถุตามเดิม ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-03-2023 เมื่อ 02:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา